วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 19

ประวัติความเป็นมาเขาพนมรุ้ง (2)


ภาพจำหลักแสดงชีวประวัติ
ของนเรนทราทิตย์



พิธีอภิเษกนเรนทราทิตย์ ปรากฏบนทับหลังประตูชั้นที่สองมุขด้านทิศใต้ ปราสาทประธาน ภาพนี้น่าจะหมายถึงพิธีอภิเษกนเรนทราทิตย์ตรงกลางเป็น
ภาพพระองค์ ทรงฉลองพระองค์ แวดล้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพาร
โยคฑักษิณามูรติ ปรากกฏบนหน้าบันด้านนอกของโคปุระ หลังกลางระเบียงคดทิศตะวันออก โดยสลักภาพตรงกลางเป็นรูปฤษี ซึ่งน่าจะหมายถึง
พระศิวะ ในภาคโยคฑักษิณามูรติ ผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจหมายถึงท่านนเรนทราทิตย์


ภาพเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของนักบวช

บริเวณปราสาท พนมรุ้ง


ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้มีการจำหลักภาพฤษี หรือ นักบวช ประดับตามส่วนต่าง ๆ เป็นจำนวน
มาก โดยมีอิริยาบถที่หลากหลายแสดงถึงการให้ความสำคัญกับฤษีเป็นพิเศษ ภาพสลักฤษีส่วนใหญ่
นั่งในท่าโยคาสพนมมือ แต่ฤษีบางตนแสดงอิริยาบถที่ต่างออกไป เช่น นั่งขัดสมาธิราบ นั่งพับเพียบ
ถือลูกปะคำ และกระดิ่ง นั่งชันเข่า พนมมืออยู่เหนือศีรษะ

นอกจากนี้ก็ยังมีภาพที่แสดงถึงชีวิตประจำ
วันของฤษี เช่น ภาพบุคคลถวายสิ่งของแก่ฤษี บนหน้าบันชั้นลดมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
มุขทิศเหนือ ภาพการศึกษาคัมภีร์บนหน้าชั้น
ลดทิศตะวันตก ด้านทิศใต้ของมณฑป ภาพการ
รีดนมวัวของฤษี บนหน้าบันชั้นลดมุมทิศตะวัน
ออกเฉียงเหนือของมุขทิศเหนือ





ภาพราคะศิลป์
ถึงแม้ว่า การสลักภาพประดับตามส่วนต่าง ๆ ของปราสาทพนมรุ้ง จะเป็นงานที่เกี่ยวเนื่องในศาสนา ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีความเคร่งครัดนั้นใน
บางครั้งความมีอารมณ์ขัน อารมณ์อ่อนไหวของช่างและการไม่เคร่งครัดของผู้ควบคุม ช่างผู้ทำการสลักภาพได้สร้างงานแบบที่เรียกว่า ราคะศิลป์ ขึ้น
ภาพในลักษณะนี้ไม่ค่อยปรากฏในศิลปะเขมรโดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน แต่สามารถพบเห็นได้ในงานศิลปกรรมที่ปรากฏในประเทศไทย
หลายแห่ง แม้แต่ที่ปราสาทพนมรุ้งแห่งนี้ภาพราคะศิลป์ที่ปราสาทพนมรุ้ง มีปรากฏอยู่หลายภาพ เช่น ภาพฤษีสองตนนั่งไขว่ห้าง

ศึกษาคัมภีร์ หันหลังชนกันที่โคนเสาติดผนังด้านทิศตะวันออก ประตูด้านทิศใต้ของอันตราละ 
ภาพคู่ของสัตว์ เช่น ภาพนกแก้วคู่บนหน้าบันชั้นแรกมุขด้านทิศตะวันตก ภาพวานรบนต้นไม้บน
หน้าบันด้านทิศเหนือของอันตราละ รูปคู่ของวานรบนผนังด้านทิศใต้ของสะพานนาคราชหน้าบัน
ไดทางขึ้นปราสาท






สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม 

ปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีองค์ประกอบและแผนผัง
ในแนวแกนที่เน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง คือ ที่ปราสาท
ประธานแผนผังของปราสาทประกอบด้วย อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เรียงตัวกันในแนวยาวตามแนวลาดชันของเขาพนมรุ้ง ดังนี้



บันไดต้นทาง
บันไดต้นทาง จากกระพักเขาด้านล่าง ทางทิศตะวันออกที่ก่อด้วยศิลาแลง เป็นชั้น ๆ 3 ชั้น สุดบันไดขึ้นมาเป็น ชาลารูปกากบาท ยกพื้นตรงกลางสูงกว่าปีก 2 ข้างเล็กน้อย ปูด้วยศิลาแลง เข้าใจว่าเป็นฐานพลับพลารูปกากบาทซึ่งเป็นซุ้มประตูทางเข้า (โคปุระชั้นนอก) ด่านแรกของปราสาทซุ้มประตูนี้คงมีรูปทรงคล้ายกับซุ้มประตูของระเบียงคด
ทิศตะวันออก ซึ่งเป้นทางเข้าด่านสุดท้าย (โคปุระชั้นใน) แต่ไม่มีวัสดุก่อสร้าง เหลือเป็นหลักฐานให้ทราบชัด อาจจะเป้นพลับพลาโถง สร้างด้วยไม้มุงกระเบื้องก็ได้ ด้านในพลับพลาค่อย ๆ ลาดลงสู่ทางเดินที่นำไปสู่บันไดทางขึ้นปราสาทของเดิม อาจมีบันไดก่อด้วยศิลาแลง หรือ หินทรายทอดลงไปเป็นชั้น ๆ



ทางทิศเหนือของชาลากากบาทมีอาคารโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 6.40 เมตร ยาว 20.40 เมตร ก่อด้วยศิลาแลงมีหินทรายประกอบบางส่วน อาคารนี้หันหน้าไปทางทิศใต้มีทางเข้าออกอยู่ทางทิศตะวันออกและอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคาร บนฐานพลับพลามีเสาหิน 4 ต้น มีระเบียงทางเดินล้อมอาคาร รวม 3 ด้าน ยกเว้นด้านหน้า เข้าใจว่า ของเดิมอาจมีหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องนอกระเบียงมีกำแพงชั้นนอกก่อด้วยศิลาแลงล้อมอยู่โดยรอบอีกชั้นหนึ่ง มีทางเข้าด้านหน้าซึ่งเชื่อมต่อมาจากชาลารูปกากบาท พลับพลาโถงหลังนี้ อาจเป็นอาคารที่เรียกกันในสมัยปัจจุบันว่า "พลับพลาเปลื้องเครื่อง" คือเป็นที่พักจัดเตรียมพระองค์ เช่น เปลื้องเครื่องทรงที่แสดงยศศักดิ์ และจัดกระบวนเสด็จของกษัตริย์ยาเสด็จมาสักการะเทพเจ้า หรือประกอบพิธีกรรม ณ ศาสนสถานแห่งนี้
พลับพลาเปลื้องเครื่องนี้ ในศิลปะแบบบายน เห็นได้จากการใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุก่อสร้างหลักลวดลายกลีบบัวที่สลักบนหัวเสาและลายดอกไม้สี่กลีบบนยอดเสา เว้นแต่เศียรนาคที่กรอบหน้าบันสลักลายแบบ ศิลปะคลัง อายุประมาณ ต้นพุทธศตวรรณที่ 16 ซึ่ง่คงจะเป็นการนำของเก่ามาประดับอาคารหลังใหม่ การเอาของเก่ามาใช้เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่พบทั่วไป ทั้งที่อาคารอื่น ๆ ในปราสาทพนมรุ้ง และที่ปราสาทอื่น ๆ
พลับพลาแห่งนี้เรียกกันทั่วไปว่า โรงช้างเผือก ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าปราสาทบนยอดเขาคือ พระราชวังของกษัตริย์แต่โบราณ ซึ่งมักจะมีโรงช้าง โรงม้าอยู่ข้าหน้า และที่เรียกกันว่าโรงช้างเผือก เพราะกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ย่อมจะมีช้างเผือกคู่บารมีอยู่ด้วย



ทางเดิน
เป็นทางเดินเท้าที่ต่อมาจากบันไดชาลารูปกากบาท ที่อาจเป็น ซุ้มประตูชั้นนอก ทอดไปยังบันไดขึ้นสู่ปราสาท ปูพื้นด้วยศิลาแลง ขอบเป็นหินทราย ยาว 160 เมตร กว้าง 9.2 เมตร ขอบถนนทั้งสองข้ามีเสาหินทรายเรียกว่า เสานางเรียง มียอดคล้ายดอกบัวตูม สู่ง 1.60 เมตร จำนวน 68 ตัน ตั้งแรียงอยู่เป็นระยะ ๆ ตรงกันทั้ง 2 แถว ลักษณะเสาและทางเดินเช่นนี้พบที่ปราสาทหลายแห่งในประเทศกัมพูชา เช่นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบันทายศรี และปราสาทพระขรรค์














สะพานนาคราช
ชั้นที่ 1
สะพานนาคราช มีความหมายเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่าง โลกมนุษย์ กับโลกของเทพเจ้า เพราะในความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของฮินดูสะพานที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าคือสายรุ้ง ในเอเชียตะวันออก และอินเดียมักจะเปรียบสายรุ้งกับงู(นาค) หลากสี ที่ชูหัวไปยังท้องฟ้าหรือกำลังดื่มน้ำจากทะเล ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้บางครั้ง จะกล่าว ถึง งู (นาค) สองตัว เนื่องจาก มักเกิดรุ้งกินน้ำ 2 ตัว อยู่เสมอ ๆ ดังนั้นจึงอาจจะเป็นรุ้งกินน้ำคู่ที่เป็นเครื่องหมาย แสดงทางเดินของเทพเจ้าไปสู่ท้องฟ้านี้เองที่เป็นสิ่งบันดาลใจให้สร้างนาคเป็นเรา สะพานอันเปรียบเสมือนตัวแทนของทางเดินแห่งเทพเจ้าที่จำลองมาไว้ในโลก


สะพานนาคราชชั้นที่ 1 ก่อด้วยหินทราย ผังเป็นรูปกากบาท กว้าง 8.20 เมตร ยาว 20.00 เมตร ยกพื้นสูงจากถนน 1.50 เมตร ด้านหน้าและด้านข้างลดชั้น มีบันไดเป็นอัฒจันทร์รูปปีกกาเป็นทางขึ้น ส่วนด้านหลังเป็นชานกว้างเชื่อมต่อกับบันไดขึ้นปราสาท เสาและขอบสะพานสลักลวดลายงดงาม ราวสะพานทำเป็นลำตัวของพญานาค 5 เศียร หันหน้าออกแผ่พังพานทั้ง 4 ทิศ ลักษณะของเครื่องประดับพญานาคมีรัศมีเป็นแผ่นสลักลวดลายในแนวนอนอันเป็นลักษณะศิลปะกรรม แบบนครวัดซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 17
ทางทิศเหนือของสะพานนาคราช มีอัฒจันทร์รูปกากบาท เป็นทางลงสู่ฉนวนทางเดินไปยังสระน้ำ ลักษณะถนนนี้อัดดินแน่น แต่งของสองข้างด้วยศิลาแลง
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นอีกอย่างที่สะพานนาคราชคือ ตรงกลางสะพานมีลายดอกบัวบาน 8 กลีบ จำหลักลงในเนื้อหินล้อมรอบด้วยยันต์ขีดเป็นเส้นคู่ขนานกันไปกับราวสะพาน หัวยันต์ขมวดเป็นรูปกลีบดอกบัว ลักษณะเช่นนี้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่าง บ้างก็ว่ากลีบดอกบัวทั้ง 8 นี้อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปดในศาสนาฮินดูหรืออาจเป็นยันต์สำหรับบวงสรวงและประกอบพิธีกรรม หรืออาจจะเป็นจุดกำหนดที่ผู้มาทำการบูชาเทพเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าหรือขอพรอันศักดิ์สิทธิ์

บันไดขึ้นปราสาท
ต่อจาก สะพานนาคราชชั้นที่ 1 อันเป็นจุดเชื่อมแห่งเทพเจ้า เป็นทางเดินขึ้นไปยังลานบนยอดเขาทำเป็นบันไดหินทราย สูง 10 เมตร มี 5 ขั้น จำนวน 52 ชั้น มีชานพัก 5 ชั้น บันไดและชานพักแต่ละชั้นลดหลั่นกัน ขึ้นไปตามลำดับความสูง ให้ความรู้สึกของยอดเขาที่สูงเสียดยอดขึ้นไป สู่สวรรค์ ทั้ง 2 ข้าง ของชานพักมีเสาหินทราย เจาะรูตรงกลาง สันนิษฐานว่าใช้สำหรับปักเสาธงในเวลาที่มีเทศกาลในพิธีกรรมต่าง ๆ หรืออาจเป็นเสาโคมไฟ


บันไดขึ้นปราสาทEntrance Stairway

ทางสู่ปราสาท
ถัดจากบันไดชั้นบนสุด เป็นลานกว้างอยู่หน้าระเบียงคด มีสระสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 5 x 5 เมตร จำนวน 4 สร


ช่องสี่เหลี่ยม 4 ช่อง เกิดจากการทำทางเข้าตักันเป็นรูปกากบาท
ปัจจุบันปลูกบัวประดับไว้เพื่อความสวยงาม
The pools before entering eastem Getewa



สะพานนาคราช
ชั้นที่ 2
ก่อนจะเข้าซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของระเบียงคดมีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 รับอยู่อีกช่วงหนึ่ง สะพานนาคราชช่วงนี้ยกระดับสู่ง 1.20 เมตร ผังและรูปแบบเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 แต่มีขนาดเล็กกว่า คือ กว้าง 5.20 เมตร ยาว 12.40 เมตร ที่ศูนย์กลางบนพื้นหินของสะพานจำหลักรูปดอกบัวบาน 8 กลีบ อยู่ในวงกลมล้อมรอบด้วยเส้นคู่ขนานตัดกันไปตามผังรูปกากบาท เช่นเดียวกัน มีทางขึ้นเป็นอัฒจันทร์รูปปีกกา 3 ด้านส่วนด้านทิศตะวันตกเชื่อมต่อกับซุ้มประตูระเบียงคด



สะพานนาคราช ชั้นที่ 2 เชื่อมระหว่าง่ทางเดินเส้นกลางกับซุ้มกลาง
ระเบียงคดทฺศตะวันออกซึ่งเป็นทางสำคัญ
The Second Naga Bridge Leading to eastern Gateway

ระเบียงคด
ก่อนจะถึงปราสาทประธานมีระเบียงคดก่อเป็นห้องยาว แต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้โดยตลอดเพราะทำผนังกั้นเป็นช่วง ๆ



ระเบียงด้านทิศตะวันออกและตะวันตกมีผังอย่างเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายขนาดกว้าง 2.6 เมตร ยาว 59 เมตร ส่วนด้านทิศเหนือ-ทิศใต้ ซึ่งมี ผังคล้ายกัน ความยาว 68 เมตร โดยประมาณ มุงหลังคาเหลื่อมเข้าหากันเป็นรูปโค้งคล้ายประทุนเรือ แต่สลักด้านบนเลียบแบบหลังคากระเบื้องประดับสันหลังคาด้วยบราสีหินทราย แกะสลักเป็นรูปทรงคล้ายดอกบัวตูมระเบียงด้านทิศใต้ก่อด้วยหินทรายยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือก่อด้วยศิลาแลง ใช้หินทรายเป็นส่วนประกอบ เช่น กรอบประตู หน้าต่าง บัวรับหลังคา
ระเบียงคดทั้ง 4 ด้าน มีซุ้มประตู (โคปุระ) ทางเข้าสู่ปราสาทอยู่ตรงกลางและยังมีประตูข้างอีกด้านละ 2 ประตู ยกเว้นด้านทิศใต้ให้เห็นเพียงประตูเดียว ระเบียงคดด้านทิศตะวันออกเจาะช่องตื้น ๆ สลักเป็นหน้าต่างปลอมที่ผนังด้านนอก ผนักงด้านในเจาะช่อง เป็นหน้าต่างจริงเป็นระยะ ๆ ส่วนด้านตะวันตกมีแต่หน้าหลอกทางด้านนอก ด้านทิศเหนือและใต้เจาะหน้าต่างที่ผนังด้านใน
ซุ้มประตูกลางของระเบียงคดด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีมุขทั้งด้านในและด้านนอก ด้านข้างชักปีกออกไปต่อกับห้องของระเบียง จึงมีลักษณะ เป็นห้องรูปกากบาทรูปโค้งลดชั้นประดับสันหลังคาด้วยบราสีส่วนซุ้มประตูหรือโคปุระของระเบียงคดด้านทิศเหนือ และใต้ไม่มีมุข จึงมีลักษณเะเป็นห้องยาว ด้านทิศใต้เจาะประตู 3 ช่อง แต่ด้านเหนือเจาะเพียงช่องเดียวที่มุมอันเป็นจุดบรรจบกันของระเบียงคดทำเป็นซุ้มรูปกากบาท เช่นเดียวกันซุ้มประตูระเบียงคดด้านทิศตะวันออกและตะวันตกแต่ขนาดเล็กกว่า มีให้เห็นอยุ่ 3 มุม ยกเว้นมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซุ้มมุมเหล่านี้จำหลักผนังด้านที่หันออกข้าง 2 ด้าน เป็นประตูหลอกเลียนแบบบานประตูไม้ 2 บานมีอกเลาอยู่ตรงกลาง

ซุ้มประตูระเบียงคดเหล่านี้ ทั้งที่เป็นประตูจริง และประตูหลอกมีการจำหลักลวดลายที่หน้าบัน ทับหลัง เสาประดับกรอบประตู และเสาติดผนัง เช่นเดียวกับที่ส่วนบนของผนังระเบียง ที่หน้าบันและทับหลังมักจำหลักเป็นภาพเล่าเรื่อง ที่ส่วนอื่น ๆ มักเป็นลายพันธุ์พฤกษา








ซุ้มประตูข้าง (ซีกทิศเหนือ) ระเบียงคดทิศตะวันออก หน้าบันสลักภาพการรบระหว่างลิงกับยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์


ชั้นที่ 3

เมื่อผ่านซุ้มประตูกลางของระเบียงคดเข้ามาจะถึงสะพานนาคราชชั้นที่ 3 ซึ่งอยู่ด้านหน้าปราสาทประธาน มีลักษณะเหมือนกับสะพานนาคราชทั้ง 2 ชั้น แต่มีขนาดเล็กลงคือ ขนาดกว้าง 3.40 เมตร ยาว 9.9 เมตร แต่พื้นกลางสะพานไม่จำหลักลายกลีบดอกบัว

สะพานนาคราชช่วงสุดท้าย เชื่อมระหว่างโคปุระด้านทิศตะวันออกกับปราค์ประทานฌเศียรนาคราช
ประดับราวสะพาน เป็นนาคราช 5 เศียร มีรัศมีเช่นเดียวกับสะพานนาคราชช่วงก่อน ๆ



The last Naga bridge connects easten entrance to the Main Sanctuary
ปราสาทประธาน
ปราสาทประธานเป็นสถาปัตยกรรมหลักที่สำคัญที่สุดตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อ มุมขนาดกว้าง 8.20 เมตร สูง 27 เมตร มีมุข 2 ชั้น ทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนทางด้านหน้า คือ ทิศตะวันออกทำเป็นอาคารมีแผนผัง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 8 x 10 เมตร ในตำแหน่งเดียวกันกับสถาปัตยกรรมต้นแบบของอินเดีย ซึ่งเป็นอาคารมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่เรียกว่า มณฑป โดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมขนาด 3.60 x 8.10 เมตร กับปราสาทประธาน มณฑปยังมีมุขอยุ่ทางด้านหน้าอีกที่หนึ่ง ส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดของปราสาทประธานตั้งอยู่บานฐาน 2 ขั้น ย่อมุมรับกันกับอาคาร



ตามแผนผังเช่นนี้มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 เหมือนกันกับแผนผังของผังปราสาทพิมาย เฉพาะองค์ปราสาท ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนฐานเรือนธาตุ และส่วนยอด
ส่วนฐาน ประกอบด้วยฐานเชียงและฐานปัทม์ หรือ ฐานบัวเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นสลักลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายประจำยาม




เรือนธาตุ คือส่วนที่อยู่ถัดขึ้นไปจากฐาน เป็นบริเวณที่เข้าไปภายในได้ห้องภายในนี้ถือเป็นห้องสำคัญที่สุด เรียกว่าห้อง ครรภคฤหะ (garbhagrha) เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุดของศาสนสถานซึ่งในที่นี้คงจะได้แก่ศิวลึงค์ แต่ปัจจะบันเหลืออยู่เพียงร่องรับน้ำสรง ต่อท่อลอดพื้นห้อง ผ่านลานปราสาทออกไปนอกระเบียงคดด้านทิศเหนือเรียกว่าท่อโสมสูตร
ส่วนยอดหรือเรือนยอด ทำเป็นชั้น ๆ (ชั้นเชิงบาตร) ลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น ส่วนยอดสลักเป็นรูปดอกบัวรองรับนภศูลที่สูญหายไปนานแล้ว ที่ชั้งเชิงบาตรแต่ละชั้นประกอบด้วยซุ้มและกลีบขนุน จำหลักเป็นรูปเศียรนาคฤษี (โยคี) เทพสตรี และเทพประจำทิศต่าง ๆ กลีบขนุนปรางค์ที่ประดับตามมุมของ แต่ละชั้นจะสลักให้สอบเอนไปข้างหลัง เป็นเหตุให้ยอดปรางค์มีรูปทรงเป็นพุ่ม

ส่วนประกอบอื่น ๆ ขององค์ปราสาทได้แก่ มุขปราสาทด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตลอดจนมณฑปด้านหน้า มุงหลังคารูปโค้งลดชั้น เช่นเดียวกับซุ้มประตูระเบียงคดหรือโคปุระ
องค์ปราสาทและส่วนประกอบทั้งหมดมีประตูกับเป็นชั้น ๆ อยู่ในแนวตรงกันทุกทิศมณฑปและอันตราละมีประตูช้างทางทิศเหนือและทิศใต้ข้างละ 1 ประตู มีร่องรอยว่าประตูเหล่านี้เคยมีบานประตูไม้ชนิดที่มี 2 บาน มีอกเลาตรงกลางเหมือนกับภาพสลักประตูหลอกที่ระเบียงคด




ที่หน้าประตูด้านนอกทุกทิศมีหลุมสำหรับติดตั้งประติมากรรมขนาบอยู่ 2 ข้าง ประติมากรรมที่ติดตั้งไว้ที่นี่คงจะได้แก่รูป ทวารบาลซึ่งมีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทพเจ้าและที่พื้นหน้าประตูมุขของมณฑปมีอัฒจันทร์จำหลักเป็นรูปดอกบัว 8 กลีบ 3 ดอก น่าจะมีความหมายพิเศษ จึงไม่น่าที่จะใช้ประตูนี้เป็นทางเข้าสู่ห้องภายในมณฑป ประตูที่ใช้เป็นทางเข้าสู่มณฑปจึงได้แก่ประตูข้างทางด้านทิศเหนือและทิศใต้
ส่วนต่าง ๆ ของปราสาทประธาน ตั้งแต่ฐาน ผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลังหน้าบันซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดขนกลีบขนุนล้วนสลักลวดลายประดับ มีทั้งลวดลายดอกไม้ใบไม้ที่เรียกว่าลายพันธุ์พฤกษา ภาพบุคคลซึ่งได้แก่เทพต่าง ๆ เช่นเทพประจำทิศและภาพเล่าเรื่อง่ตามคัมภีร์ทางศาสนาเช่นเรื่องมหาภารตะ เรื่องของพระศิวะ เรื่องของพระวิษณุ ซึ่งมักเป็นเรื่อง อวตาร ปางต่าง ๆ ของพระองค์โดยเฉพาะปางรามาวตารหรือ รามายณะ ที่เรารู้จักกันในชื่อรามเกียรติ์ ดูเหมือนจะมีมากเป็นพิเศษอาจจะเนื่องจากเป็นเรื่องที่นิยมเล่ากันแพร่หลายมากที่สุดในสมัยนั้นก็เป็นได้
จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของปราสาทประธานพอจะกำหนดอายุได้ว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 17


ปรางค์น้อย
  
ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทประธานด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้สร้างเป็นปราสาทสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมขนาด 6 x 6 เมตร สูง 5.5 เมตร ส่วนยอดชำรุดเข้าใจว่าเมื่อมีการก่อสร้างในสมัยหลังได้รือเอาหินส่วนยอดปรางค์องค์นี้ซึ่งขณะนั้นอาจอยู่ในสภาพที่ผังลงมาบ้างแล้วไปใช้ในที่อื่น การนำชิ้นส่วนเก่าไปใช้สร้างอาคารใหม่เช่นนี้มีให้เห็นอีหลายแห่งเป็นต้นว่า เราได้พบชิ้นส่วนหินทรายที่มีสภาพงดงามปูพื้นทางเดินโดยางคว่ำไว้ และได้พบศิลาจารึกเป็นส่วนประกอบของอาคารเป็นต้น แสดงว่าได้มีการนำชิ้นส่วนของอาคารเดิมที่อาจพังลงมาไปไว้ใช้ก่อสร้างอาคารใหม่ในสมัยต่อมาปราสาทองค์นี้ก่อด้วยหินทรายกรุผนังด้านในด้วยศิลาแลง มีประตูเข้าได้ทั้งเดียวคือ ทางด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นด้านหน้า ส่วนด้านอื่น ๆ ก่อผนังทึบแต่สลักเป็นประตูหลอก




ภายในห้องมีแท่นฐานหินทรายสำหรับประดิษฐานรูปเคารพภาพจำหลักประดับส่วนต่าง ๆ ขององค์ปราสาทต่างกันกับปราสาทประธาน ซึ่งหน้าบันจะจำหลักภาพบุคคลแต่ปรางค์น้อย หน้าบันจะจำหลักลายพันธุ์พฤกษาเป็นส่วนใหญ่โดยมีภาพบุคคลขนาดเล็กอยู่ตรงกลางค่อนมาทางด้านล่าง เช่น ที่หน้าบันด้านทิศตะวันออกจำหลักเป็นรูปบุคคลยกแขนซ้ายขึ้นท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษาข้างล่าง ของภาพบุคคลเป็นรูปหน้ากาลหรือเกียรติมุข
ภาพบุคคลดังกล่าวคงแสดงภาพ พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะในเรื่อง กฤษณาวตาร เศียรนาคกรอบหน้าบันทำเป็นเศียรนาคเกลี้ยงไม่มี รัศมีลักษณะดังกล่าวประกอบกับลักษณะของลวดลายจำหลักบนทับหลังตรงกับรูปแบบทางศิลปะเมมรแบบบาปวน ราวพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีลักษณะของแบบศิลปะก่อนหน้านั้น คือ แบบเกลียงหรือคลัง ปะปนอยู่บ้าง ทำให้สามารถกำนดอายุได้ว่าปรางค์น้อยคงจะสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 ก่อนหน้าปราสาทประธาน















ใกล้ ๆ กับปราสาทประธานด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีฐานปราสาทก่อด้วยอิฐอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกขนาด 5 x 5 เมตร อีกองค์หันหน้าไปทางทิศตะใต้ขนาด 5 x 5 เมตร

ปราสาทอิฐ 2 หลังนี้ มีเสาประดับกรอบประตูที่ทำด้วยหินทราย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะได้ศึกษาพบว่า น่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 และพบประติมากรรมหินทราย 2 รูป มีลักษณะศิลปะที่มีอายุใกล้เคียงกันจึงกว่าวได้ว่าปราสาทอิฐคงจะสร้างขึ้นในช่วงนั้น คือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 นับเป็นสถาปัตยกรรมที่มีอายุที่มีอายุเก่าที่สุดที่เหลืออยู่








วิหารหรือบรรณาลัย 2 หลัง


ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง มีประตูเข้าออก ด้านเดี่ยว ภายในไม่มีรูปเคารพหลังคาทำเป็นรูปประทุนเรือโดยการวางหินซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปบรรจบกันแบบเดียวกับหลังคาระเบียงคด

อาคารหลังที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกมีขนาด 11.60 x 7.10 เมตร สูง 5 เมตร ส่วนหลังที่อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีขนาด 14.50 x 8.50 เมตร สูง 3 เมตร หันหน้าไปทางทิศใต้อาจเพื่อหลีกเลี่ยงปราสาทเก่า 2 หลัง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น
อาคารลักษณะนี้ในศิลปะเขมรเรียกว่า บรรณาลัย หมายถึง ที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาซึ่งเป็นที่นิยมสร้างในสมัยบายนพุทธศตวรรษที่ 18





การได้ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืน จากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก



การได้ทับหลังนานายณ์บรรทมสินธุ์ของปราสาทพนมรุ้งคืน จากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ประเทศหสรัฐอเมริกานั้น เป็นผลมาจากการร่วมมือรณรงค์ของคนจำนวนมาก หลายชาติหลายภาษา ทั้งที่อยู่ในและนอกประเทศไทย นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ ที่มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญชิ้นนี้ได้กลับสู่ประเทศไทยผู้เป็นเจ้าของ
หลักฐานที่สำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่า ทับหลังชิ้นนี้เป็นของปราสาทพนมรุ้ง ได้แก่ ภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จประพาสปราสาทพนมรุ้ง เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2472 เป็นภาพถ่ายทับหลังที่แตกหักเป็น 2 ชิ้น ภาพถ่ายนี้เหมือนกับที่นายมานิต วัลลิโภดม ได้ถ่ายไว้ เมื่อ พ.ศ. 2503 ปรากฏในหนังสือรายงานการนสำรวจขุดแต่งโบราณวัตถุสถานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาค 2 พ.ศ. 2503 - 2503

ในช่วงระหว่างปีก พ.ศ. 2504 - 2508 ได้มีการโจรกรรมทับหลังนารายบรรทมสินธุ์ ที่แตกหักเป็น 2 ชิ้นนี้ไปจากปราสาทพนมรุ้ง ในปี พ.ศ. 2508 กรมศิลปากร ได้ยืดเอาทับนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่แตกออกเป็น 2 ชิ้น โดยได้ยืดเอาทับหลังชิ้นเล็กจากร้านกรุงเก่า (ที่ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Capital Antique) แถบราชประสงค์กรุงเทพฯ ส่วนทับหลังชิ้นใหญ่ที่มีการจำหลักนารายณ์บรรทมสินธุ์นั้นไม่ได้พบในเวลานั้น จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล และดร.ไฮแรม วูดเวิร์ด (Hiram Woodword) ได้พบทับหลังชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโกประเทศสหรัฐอเมริกา จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่สถาบันฯ ทราบ ต่อมา ดร. ไฮแรม วูดเวิร์ด เขียนแจ้งสถาบันฯเป็นลายลักษณ์อักษร ศาสตราจารย์ ม.จ. สภัทรดิศ ดิศกุล ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงกรมศิลปากร แนะให้ขอคืนจากนายเจมส์ อัลสดอร์ฟ (James Alsdorf) ประธานมูลนิธิ อัลสดอร์ฟ (Als dorf Foudation) ที่ให้สถาบันฯ ยืมแสดงในขณะนั้น
ในระหว่างปี พ.ศ. 2516 - 2521 กรมศิลปากรได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อขอคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ชิ้นนี้ ตั้งแต่ทำหนังสือและส่งหลักฐานยืนยันต่าง ๆ ถึงรัฐบาลสหรัฐ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตไทยในอเมริกา ถึงผู้ว่าอำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเอเชียของยูเนสโกประเทศญี่ปุ่น และถึงเลขาธิการสภาพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (International Council of Museums (ICOM) ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก แต่ก็ไม่เป็นผลเนื่องจากประเทศไทยในขณะนั้นมิได้เข้าร่วมภาคีแห่งอนุสัญญาขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ ว่าด้วยวิธีการในการห้ามและป้องกันการนำเข้า การส่งออก และการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมโดยมิชอบด้วยกฏหมาย
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เมื่อการบูรณะปราสาทพนมรุ้งด้วยวิธีอนัสติโลซีสเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ และเปิดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งได้ การดำเนินการทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จึงได้เริ่มขึ้นจากการริเริ่มของคณะกรรมาธิการวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการทำหนังสือโยตรงถึงผู้อำนวยการสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ได้ยืนยันว่า ทางสถาบันได้รับทับหลังชิ้นนี้มาอย่างถูกต้องแต่พร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างเป็นมิตร โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุ ที่มีคุณค่าทางศิลปะเท่าเทียมกัน ซึ่งรัฐบาลไทยโดยกรมศิลปากรได้มีมติเรื่องนี้ว่า กรมศิลปากรจะไม่ดำเนินการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติเป็นอันขาด แต่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ยินดีจะจำลองประติมากรรมที่มีความสำคัญทางศิลปะให้คุณค่าทางการศึกษาเป็นการตอบแทน การดำเนินการในระยะนี้ได้รับความสนใจและร่วมผลัพดันเต็มที่จากสื่อมวลชนทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 กระทรวงศึกษาธิการได้ทำการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายมารุต บุนนาค) เป็นประธานกรรมการ การเจรจาในระยะนี้ ทางสถาบันศิลปะฯ ยังคงยืนยันที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ได้มีมติว่า ถ้าทางสถาบันศิลปะฯ ส่งทับหลังคืนทางคณะกรรมการฯ จะส่งศิลปวัตถุที่มีอายุใกล้เคียนหรือเก่ากว่าและมีคุณค่าทางศิลปะเท่าเทียมให้สถาบันฯ ยืมเพื่อจัดแสดงเป็นการชั่วคราว โดยได้ส่งรูปโบราณวัตถุให้ทางสถาบันศิลปะฯ คัดเลือกทางสถาบันศิลปะได้มีความสนใจในเสมาแสดงภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบัลพัศด์ ซึ่งพบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ทางไทยส่งภาพให้โดยแจ้งความประสงค์จะขอแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุชิ้นนี้กับทับหลังทางคณะกรรมการฯ มีมติไม่ยินยอมตามข้อเสนอดังกล่าว

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2531 กรทรวงศึกษาธิการโดยกรมศิลปากรได้มีการประชุมและเสนอแนวทาง แก่คณะกรรมการฯ โดยมีสาระสำคัญ คือ เจรจาให้สถาบันคืนทับหลังโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถ้าทางสถาบันยินยอม ประเทศไทยโดยกรมศิลปากรยินดีจะให้ความร่วมมือทางวิชาการตามแนวทางการบริหารงานพิพิธภัณฑ์สากล โดยการให้ยืมศิลปวัตถุเพื่อจัดแสดงเป็นการชั่วคราว และได้มีการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายไทย ไปเจรจากับทางสถาบัน ผลการเจรจา ไม่เป็นที่ตกลงกัน
มีการประชุมสภาเมืองชิคาโก ในเรื่องทับหลัง มีผู้ที่ให้การสนับสนุนฝ่ายไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นกรรมการกรณีทับหลัง หรือบุคคลภายนอกที่เป็นทั้ง ชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวอเมริกกันเองด้วย ด้วยแรงกดดันต่าง ๆ เหล่านี้ และจากสื่อมวลชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทางสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก จึงได้ส่งมอบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนให้แก่ รัฐบาลไทยในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 และได้นำเอาทับหลังชิ้นนี้กลับไปติดตั้งยังที่เดิม ณ องค์ปราสาทประะานพนมรุ้ง ในวันที่ 7 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเอง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น