วันพุธ, มิถุนายน 11

ประวัติความเป็นมาเขาพนมรุ้ง (1)


ประวัติความเป็นมาเขาพนมรุ้ง


   ปราสาทพนมรุ้งเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนเขาพนมรุ้ง ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างขึ้นโดยมีรูปแบบของศิลปะเขมรโบราณ ที่มีความงดงามมากที่สุดแห่ง หนึ่ง ความงดงามและความยิ่งใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ปรากฏให้เห็นได้ในรูปของงานสถาปัตยกรรม การจำหลักลวดลายการเลือกทำเลที่ตั้งบนยอดเขามีแผนผังตามแนวแกนที่มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ เรียงตัวกันเป็นแนวเส้นตรงพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง คือ ปราสาทประธาน จากงานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ ชวนให้เกิดความสงสัยและอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนในสมัยโบราณสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ปราสาทพนมรุ้ง เป็นที่รู้จักของชาวท้องถิ่นเป็นอย่างดี ดังได้มีนิทานพี้นบ้านเรื่อง "อินทรปรัสถา" กล่าวถึงคู่พระคู่นางซัดเซพเนจรไปจนพบที่พักพิงซึ่งเป็นปราสาทหินอันงดงามรกร้างอยู่ท่ามกลางป่าเขา แต่สำหรับบุคคลภายนอกต่างบ้านต่างเมืองนั้น ปราสาทแห่งนี้รู้จักกันครั้งแรกตามที่มีเอกสารที่มีการกล่าวถึงปราสาทพนมรุ้งเป็นครั้งแรกคือ บันทึก ของนายเอเตียน เอมอนิเยร์ (Etienne Aymonier) ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2428 ตีพิมพ์เป็นบทความใน พ.ศ. 2445

    ปี พ.ศ. 2449 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาที่ปราสาทพนมรุ้ง คราวเสด็จมณฑลอีสาทและเสด็จอีกครั้งในปี พ.ศ. 2472 กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพนมรุ้งเป็นโบราณสถานของชาติประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478

    และปี พ.ศ. 2503-2504 ได้ดำเนินการสำราจปราสาทพนมรุ้งอีกครั้ง ต่อมาใน พ.ศ. 2514 ได้เริ่มดำเนินการบูรณะปราสาทพนมรุ้งด้วยวิธีอนัสติโลซิส (Anastylosis คือ การนำชิ้นส่วนของปราสาทกลับเข้าสู่ตำแหน่างเดิม) เปิดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน

    ชื่อของปราสาทพนมรุ้ง เป็นชื่อดั้งเดิมของโบราณสถานแห่งนี้ คำว่า พนมรุ้งปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ที่พบที่ปราสาทแห่งนี้จารึกพนมรุ้ง หลักที่ 2 หลักที่ 4 และ K10900 จารึกว่า พนมรุ้งเป็นชื่อเทวสถาน ที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีที่ดิน หมู่บ้าน เมือง

ปราสาทแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยที่ประทับของพระศิวะพระองค์ที่ประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส ดังนั้น การที่ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนยอดเขาพนมรุ้ง จึงเป็นการสะท้อนถึงการนับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายได้เป็นอย่างดี


    อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของปราสาทพนมรุ้ง ไม่ได้สร้างขึ้นมาพร้อมกันหมดในคราวเดียว ได้มีการสร้างศาสนสถานเพื่อเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อการนับถือศาสนาของชุมชน ขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ได้แก่ ปราสาทอิฐ 2 หลัง ที่ปัจจุบันอยู่ในสภาพพังทลายเหลือเพียงฐานและกรอบประตู หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างต่อเนื่องกันมาเป็นลำดับ โดยกษัตริย์ของอาณาจักรเขมรโบราณ หรือผู้นำที่ปกครองชุมชน อันมีปราสาทพนมรุ้งเป็นศูนย์กลาง

ปราสาทพนมรุ้ง คงมีความสำคัญสืบต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1544) พระองค์นับถือศาสนาฮินดูไศวนิกาย เช่นเดียวกับพระราชบิดา (พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ) นอกจากจะมีพระราชโองการให้สร้างจารึกเพื่อสรรเสริญเกียรติคุณของพระราชบิดาแล้วยังทรงถวายที่ดินให้กับเทวสถานใน สมัยนี้เอง เทวสถานบนเขาพนมรุ้ง เป็นศูนย์กลางของชุมชนโดยรอบอย่างแท้จริง ข้อความในจารึกพนมรุ้ง บางหลักแม้จะมีเนื้อความขาดหายแต่ก็ให้ภาพ รวมได้ว่าเทวสถานบนเขาพนมรุ้ง เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ คือ ศิวลึงค์ มีอาณาเขตกว้าวขวางมีที่ดิน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดิน (พระเจ้าวรมันที่ 5 ) และข้าราชการระดับต่าง ๆ ถวายหรือซื้อถวายให้กับเทวสถานพร้อมกับมีพระราชโองการ ให้ปักหลักเขตที่ดินขึ้นกับเทวสถานพนมรุ้งพร้องกับการสร้างเมือง สร้างอาศรมให้กับโยคี และนักพรตด้วย
    ในราวพุทะศตวรรษที่ 17 ได้มีการก่อสร้างปราสาทประธานขึ้น จากการศึกษาศิลาจารึกพนมรุ้ง หลักที่ 7 และหลักที่ 9 กล่าวได้ว่าปราสาทประธานสร้างขึ้นในสมัยเรนทราทิตย์



ชีวประวัติของนเรนทราทิตย์    
     นเรนทราทิตย์เป็นโอรสของพระนางภูปตีนทรลักษมี เป็นผู้มีสติปัญญาหลักแหลม มีความสามารถในการรบ ได้เข้าร่วมรบกับกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น จากศึกสงครามนเรนทราทิตย์คงได้รับความดีความชอบเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์มหิธรปุระ
   ทรงได้ดำเนินการสร้างปราสาทหลังใหญ่ขึ้นประดิษฐานรูปเคารพสร้างงานศิลปกรรมปรากฏเป็นงานจำหลักตามส่วนต่าง ๆ เช่น หน้าบัน ทับหลัง ที่ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่า มีความประสงค์ที่จะสร้างเทวสถานแห่งนี้เป้นเทวาลัยของพระศิวะ มีศิวลึงค์เป็นองค์ประธาน และยังมีการนับถือเทพองค์อื่น ๆ แต่อยู่ในสถานะเทพชั้นรอง นอกจากนี้ข้อความที่ปรากฏในจารึกยังแสดงให้เห็นว่า นเรนทราทิตย์ ได้สร้างปราสาทแห่งนี้ เพื่อประดิษฐานรูปของตนเอง หลังจากสิ้นพระชนม์ ความเลือมใส ศรัทธาอันแรงกล้าต่อศาสนา ทำให้ท่านทรงออกบรรพชาถือองค์เป็นนักพรตจวบจนวาระสุดท้าย ข้อความที่ปรากฏในจารึกพนมรุ้ง ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ท่านคงเป็นนักพรตในลัทธิไศวนิกาย ตามแบบนิกายปศุปตะที่มีการนับถือกันมาแล้วแต่เดิม โอรสของนเรนทราทิตย์ คือ หิรัณยะ เป็นผู้ที่ให้จารึกเรื่องราวเพื่อสรรเสริญเกียรติคุณของพระบิดาได้ให้ช่างหล่อรูปของนเรนทราทิตย์ด้วยทองคำ

   สิ่งก่อสร้างสมัยสุดท้าย คือ บรรณาลัย และพลับพลา ซึ่งมีการก่อสร้างเพิ่มเติมซ่อมแซมขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724 - 1763 ) มหาราชองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรเขมร พระองค์ทรงนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน โปรดให้สร้างอโรคยศาล หรือ ศาสนสถานพยาบาล จำนวน 102 แห่ง และที่พักคนเดินทาง จำนวน 121 แห่ง ขึ้นในดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ตามข้อความที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหม และจารึกปราสาทพระขรรค์ ตามลำดับ โบราณสถานดังกว่าวนี้ ที่อยู่ใกล้เคียงปราสาทพนมรุ้ง ได้แก่ กุฏิฤาษีเมืองต่ำ และกุฏิฤาษีหนองบัวลาย ซึ่งเป็นศาสนสถานพยาบาล ปราสาทบ้านบุ เป็นที่พักคนเดินทาง



ภาพจำหลัก
    ปราสาทพนมรุ้งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระศิวะที่ห้องครรภคฤหะของปราสาทประธาน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพพระศิวะนั้นแม้จะไม่พบประติมากรรมชิ้นนี้แต่ก็มีภาพจำหลักของพระศิวะปรากฏดังนี้

ทับหลังภาพฤษีในปราสาทประธานA lintel inside the principal tower

ภาพโยคีหรือฤษี
   บนทับหลังชั้นในสุด ของปราสาทประธาน ด้านทิศตะวันออก และทิศใต้ จำหลักเป็นภาพโยคี 5 ตน นั่งชันเข่าพนมมืออยู่ที่ซุ้มเรือนแก้ว ส่วนบน
ทับหลังด้านทิศใต้ ภายโยคีตรงกลางถือลูกปะคำ และมีรูปโยคีขนาดเล็กอยู่ริมสุดทั้ง 2 ข้าง ภาพบนทับหลังนี้เกี่ยวข้องกับพระศิวะ โดยพระองค์เป็นเทพ
แห่งโยคะ พระนามหนึ่งของพระองค์คือ มหาโยคี




ภาพพระศิวะนาฏราช
ที่บริเวณหน้าบันด้านทิศตะวันออกของมณฑปปราสาทประธานเป็น
ภาพจำหลักพระศิวะนาฏราช หรือพระศิวะทรงฟ้อนรำ เป็นภาพพระศิวะเศียร
เดียว สิบกร อยู่ในท่าฟ้อนรำ แวดล้อมด้วยบุคคล โดยบุคคลที่อยู่ทางซ้าย
มือสุดของพระศิวะ คือ พระคเณศ โอรสของพระองค์ ถัดมาน่าจะได้แก่ พระ
วิษณุ พระพรหม ตามลำดับ และมีภาพเทวสตรี 2 องค์อยู่ทางด้านขวา
ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูจังหวะการ่ายรำของพระศิวะ อาจะบันดาล
ให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสวดอ้อนวอนให้พระ
องค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะสงบหากพระองค์โกระกริ้วฟ้อนรำใน
จังหวะที่รุนแรง จะนำมาซึ่งภัยพิบัติต่าง ๆ




ภาพอุมามเหศวร
   ภาพนี้ปรากฏบนห้านบัน ชั้นที่หนึ่งด้านทิศใต้ของมณฑปปราสาท
ประธาน ภาพอยู่ในสภพาชำรุดมาก แต่ยงพอมองเห็นได้ว่าเป็นภาพพระศิวะพระ
นางอุมาชายา ประทับอยู่บนหลังโคนนทิซึ่งเป็นพาหนะของพระองค์แวดล้อม
ด้วยเหล่าข้าทาศบริวาร
ที่หน้าบันชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก ปราสาทประธาน ปรากฏภาพ
อุมามเหศวร อยู่ในวิมานบนเขาไกรลาส โดยชายาของพระองค์ประทับอยู่บน
ชานุเบื้องซ้าย วิมานที่ประทับอยู่มีรูปทรงแบบปราสาท


ภาพศิวะมหาเทพ
   บนหน้าบันชั้นที่หนึ่งของมุขด้านทิศใต้ปราสาทประธานเป็นภาพ
จำหลัก ซึ่งอยู่ในสภาพชำรุด มีรูปเทพ 4 กร (เห็นเพียง 3 กร) ประทับ
บนแท่น ขนาบข้างด้วยสตรี เบื้องล่างเป็นรูปบุคคลเรียงกันอยู่ ภาพจำหลัก
ตรงกลางน่าจะหมายถึง พระศิวะ ประทับนั่งบนยอดเขา ไกรลาส ซึ่งแสดง
โดยการทำฐานซ้อนเป็นชั้น







ภาพพระศิวะและพระอุมาประทานพรแก่อสูร
    บนหน้าชั้นที่สอง ด้านทิศตะวันออกของมณฑปมีภาพจำหลักซึ่งมี
สภาพค่อนข้างชำรุดเป็นภาพบุคคล 2 คน นั่งอยู่บนแท่น บุคคลที่อยู่ทาง
ซ้ายน่าจะหมายถึงพระศิวะ บุคคลที่มีลักษณะแบบสตรี น่าจะหมายถึง พระอุ
มา กำลังให้พรแก่อสูร เบื้องหลังจำหลักเป็นภาพต้นไม้ใหญ่ ลักษณะเหล่านี้
แสดงถึง เขาไกรสาส อันเป็นที่ประทับของพระศิวะ
อย่างไรก็ตาม ภาพจำหลักชิ้นนี้ อาจแสดงเรื่องราวใน รามยณะตอน
หนุมานถวายแหวนแก่นางสีดา
นอกจากนับถือพระศิวะแล้ว ก็ยังมีการนับถือเทพองค์อื่น ๆ อีก โดย
นับถือเป็นเทพชั้นรอง มีการจำหลักภาพเกี่ยวกับเทพเหล่านั้นด้วย





พระวิษณุ (พระนารายณ์)
ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์
    ที่ทับหลังของมณฑปด้านทิศตะวันออกปราสาทประธาน เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวา เหนือ
พระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทรมีก้านดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประอยู่เหนือดอกบัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้าย พระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวา ตามลำดับ ส่วนพระหัตถ์หน้าขวา รอบรับพระเศียรของพระองค์เองทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้ว มีชายผ้ารูปหาปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วยสายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับมีปพระลักษณมีชายาพระองค์ประทับนั้นอยู่ตรงปลายพระบาท สำหรับพระพรหม ซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กรถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑ ใช้มือยึดนาคไว้ข้างละต้นนอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงค์คาบช้างอยู่ด้วย การบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์นั้น คือ การบรรทมสินธุ์ของพระ
นารายณ์นั้น คือ การบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้ง
นั้น จะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์
ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้ คงได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์
ที่ให้ความสำคัญแก่ พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในขณะที่พระนารายณ์
กำลังบรรทมอยู่นั้น ได้ทรางสุบินขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวได้บังเกิดพระพรหม และพระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ



ภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ
   ปรากฏบนทับของมุขด้านทิศเหนือปราสาทประธาน ภาพอยู่
ในสภาพชำรุดมาก แต่พอมองเห็นได้ เป็นภาพพระนารายณ์
ทรงครุฑอยู่เหนือนาคหลายเศียร ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในภาพจำหลักที่อื่น ๆ




ภาพที่แสดงเรื่องราวการอวตารจของพระนารายณ์
ในกาศาสนาฮินดูพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นเทพที่มีหน้าที่ดูแลรักษาโลก เมื่อโลกมนุษย์เกิดความไม่สงบสุข พระองค์จะอวตาร
ลงมาเกิดเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากยุคเข็ญ การอวตารที่สำคัญของพระองค์มี 10 ครั้ง ที่มักจะเรียกกันโดยทั่วไปว่า นารายณ์ 10 ปาง
สำหรับภาพจำหลักแสดงเรื่องราวอวตารของพระวิษณุที่ปราสาทพนมรุ้ง มีด้วยกัน 3 ปาง คือ วามนาวตาร กฤษณาวตาร และรามาวตาร




1. วามนาวตาร
    พระองค์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย เพื่อปราบอสูรพลีเจ้าแห่ง
เมืองบาดาล ซึ่งยกทัพมารุกรานเทวดาบนสวรรค์ เทวดาต้องถอยหนี
จากวิมาน ไม่มีที่อยู่จึงขอให้พระนารายณ์ช่วย พระองค์จึงอวตาร
(ถือกำเนิด) มาเป็นพราหมณ์เตี้ยขื่อ วามน เสด็จเข้าสู่มณฑลพิธียัญของ
อสูรพลี อสูรพลีไม่ทราบว่าเป็นพระนารายณ์อวตาร จึงบูชาแล้วออกปาก
ให้ทุกสิ่งที่ขอ พราหมณ์วามนจึงขอ "แผ่นดินแค่สามก้าวย่าง" อสูรพลี
ยอมตามโดยมิฟังคำเตือน ของพระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ จึงทีพิธีหลั่งน้ำเพื่อแสดงสัตย์สัญญายกให้ พราหมณ์วามน จึงสำแดงฤทธิ์ ก้าวแรกเหยียบได้
ตลอดแดนสวรรค์ ก้าวสองเหยียบได้ตลอดแดนมนุษย์ แล้วจึงแสดงองค์เป็นพระนารายณ์เหยียบก้าวที่สามลงบนศีรษะอสูรพลี แล้วไล่ให้กลับไปอยู่
เมืองบาดาลตามเดิม
ภาพจำหลักแสดงเรื่องราวตอนนี้ ปรากฏบนทับหลังประตูชั้นที่สองด้านทิศตะวันออกของมณฑปปราสาทประธาน จากซ้ายไปขวา จะเห็นภาพ
อสูรพลีกำลังหลั่งน้ำลงในมือพราหมณ์เตี้ยตรงกลาง จำหลักเป็นภาพอสูรพลีอยู่ภายในอาคาร ถัดไปเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กร กำลังยกพระบาทก้าวข้าม
มหาสมุทร หรือจักรวาล พระบาทซ้ายวางอยู่บนดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแผ่นดิน สตรีที่ถือดอกบัวอยู่น่าจะได้แก่ พระศรีหรือลักษมี ชายาของพระ
องค์
นอกจากนี้ที่หน้าบันชั้นที่สาม ด้านทิศเหนือ ของปราสาทประธานยังปรากฏภาพจำหลักที่อาจเป็นเรื่องราวตอนเดียวกันนี้ โดยจำหลักภาพบุคคล
ร่างกายใหญ่โตกำลังก้าวย่างด้วยขาซ้าย มีรูปฝูงชนอยู่ในอาการที่หวาดกลัว



2. กฤษณาวตาร
พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระกฤษณะผู้มีฤทธิ์เดช ห้าวหาญ และ
มีกำลังเหนือมนุษย์เพื่อปราบพระยากงส์ผู้รุกรานกษัตริย์นครต่าง ๆ เมื่อ พระ
กฤษณะถือกำเนิด ท้าววาสุเทพ พระบิดาเกรงพระยากงส์จะฆ่าเสีย จึงนำ
ไปฝากไว้กับนันทะ คนเลี้ยงวัว จึงเติบโตมาในหมู่พวกโคบาล ครั้งหนึ่งจึงได้
สำแดงฤทธิ์ โดยสู้รบกับนาคกาลียะ จนได้ชัยชนะ ต่อมาได้ห้ามนันทะว่าไม่
ให้กราบไหว้พระอินทร์ ให้พลีบูชาภูเขาโควรรธนะแทน เพราะเป็นถิ่นที่อยู่ให้
ร่มเงา หญ้าและน้ำแก่ ปศุสัตว์ พระอินทร์ ทรงกริ้วจึงบันดาลให้ฝนตกน้ำ
ท่วม หวังให้พวกโคบาลวรรธนะป้องกัน ตลอด 7 วัน 7 คืน จนพระอินทร์
ยอมแพ้ต่อมาเห็นว่าพระกฤษณะมีฤทธิ์เดชมาก เกรงจะเป็นอันตรายจึงวางแผนลวงพระกฤษณะเข้ามาในเมืองเพื่อจะฆ่าเสีย โดยปล่อยช้างกุวัลยปิถะ
พระกฤษณะสามารถฆ่าช้างได้ สุดท้ายพระยากงส์จึงถูกพระกฤษณะฆ่าตาย
ภาพจำหลักที่แสดงเรื่องราวได้แก่ ภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลียะบนหน้าบันชั้นที่สองด้านทิศเหนือของมณฑปปราสาทประธาน ภาพจำหลัก
ตอนพระกฤษณะโควรรธนะ บนหน้าบัน 2 แห่ง คือ หน้าบันด้านทิศตะวันออก ของปราสาทประธาน และบนหน้าบันด้านทิศตะวันออกของปรางค์น้อย
ภาพตอนพระกฤษณะฆ่าช้างกุวัลยปิถะและราชสีห์ บนทับหลังด้านทิศเหนือของอันตราละที่เชื่อมระหว่างปราสาทประธานกับมณฑป และภาพพระกฤษณะ
ฆ่าพระยากงส์บนทับหลังประตูชั้นที่สอง มุขด้านทิศตะวันตกปราสาทประธาน





3. รามาวตาร
รามายณะ เป็นคัมภีร์หนึ่งที่สำคัญในศาสนาฮินดู เป็นเรื่องราวของพระรามหรืออวตาร
ปางหนึ่งของพระนารายณ์เรียกว่า รามาวตารเพื่อปราบอธรรม หรือพวกรากษส (ยักษ์, อสูร)
ซึ่งมีทศกัณฑ์เป็นหัวหน้า รามายณะฉบับภาษาสันสกฤตที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดคือ ฉบับที่รจนา
(แต่ง) โดยฤาษีนามว่า วาลมิกี ในต้นพุทธกาล หรือราว 2,400 ปีมาแล้ว เมื่อเป็นฉบับไทย
ใช้ชื่อว่า "รามเกียรติ์) รามายณะกับรามเกียรติ์จึงมีเนื้อหาบางตอนแตกต่างกันไปบ้าง โดย
เฉพาะชื่อบุคคลและสถานที่ในเรื่องสำหรับปราสาทพนมรุ้งแห่งนี้ คงเป็นกาาสลักเล่าเรื่องตามรา
มายณะ ฉบับภาษาสันสกฤต ซึ่งมีมาก่อนรามเกียรติ์ของไทย







อรัณยะกัณฑ์
หรือตอนพระรามเดินป่า
พระรามพร้อมด้วยนางสีดา ชายาพระลักษมณ์ อนุชา เสด็จออกจากอโยธยา ออกเดินป่า 14 ปี เมื่อเข้าสู่ป่าทัณฑกะ ตอนหนึ่งพบอสูรชื่อ
วิราธ (พิราบ) อสูรพ่ายแพ้ถูกฆ่าตายในที่สุด ทั้งสามพระองค์ได้เดินทางเข้าสู่อาศรมแห่งปัญจาวคี ทศกัณฑ์เจ้ากรุงลงกา มีอิทธิฤทธิ์มากอยากได้นางสีดาจึงให้ มาจปลอมเป็นกวางล่อพระราม พระลักษมณ์ออกจากอาศรมตามกวาง (ปลอม)ไป ส่วนทศกัณฑ์ปลอมเป็นฤษีเข้าเกี้ยวนางสีดา


นางสีดาไม่ยอม ทศกัณฑ์กลับร่างเดิม (มีสิบเศียร ยี่สิบกร) อุ้มนางสีดา
ขึ้นรถเหาะไปพระยาชดายุปักษิราช (นกสดายุ) เข้าขัดขวางรบกับทศกัณฐ์
แต่พ่ายแพ้
ภาพจำหลักที่แสดงเรื่องราวในตอนนี้ ได้แก่ ภาพพระราม พระลักษมณ์
และนางสีดาเดินป่า บนหน้าบันชั้นที่สอง ของมุขทิศตะวันตก ปราสาทประธาน
ภาพเหตุการณ์ต่อมาได้แก่ ภาพอสูรวิราธแย่งชิงนางสีดาปรากฏอยู่บนหน้าบันชั้น
ที่สองมุขทิศใต้ ต่อมาเป็นภาพวิราธกำลังยกพระรามกับพระลักษมณ์ด้วยมือทั้ง
สอง ปรากฏบนหน้าบันชั้นที่สองของมณฑปด้านทิศใต้ ภาพเหตุการณ์ต่อมาเป็น
ภาพทศกัณฑ์ ลักนางสีดา ปรากฏบนหน้าบันด้านทิศเหนือของอันตราละ




กีษกินธากัณฑ์
หรือ ตอนพระรามปราบพระยาพาลีเจ้านครกีษกินธ์ (ขีดขินธ์)
พาลีพระยาวานรวิวาทกับสุครีพน้องชาย ขับสุครีพออกจากเมืองพระรามมาพบสุครีพจึงทำสัญญาจะช่วยเหลือกันในที่สุดพาลีตายด้วยศรพระรามสุ
ครีพขึ้นครองนครกีษกินข์ และสัญญาว่าจะยกไพร่พลวานรไปช่วยพระรามรบทศกัณฐ์

ภาพสลักเหตุการณ์ตอนนี้ ปรากฏบนซุ้มบัญชรบนชั้นเชิงบาตร
(ส่วนยอด) ชั้นที่สองด้านทิศตะวันตกปราสาทประธาน เป็นภาพลิงสอง
ตัวสู้รบกัน คือ พาลี กับ สุครีพ) พระรามอยู่ทางซ้ายแผลงศรไปที่พาลี



สุนทรภัณฑ์
หรือตอนหนุมานเข้ากรุงลงกา เพื่อตามหานางสีดา

พระรามได้ใช้ให้หนุมาน พระยาวานร ซึ่งเป็นทหารเอกฝีมือเยี่ยม
เหาะข้ามมหาสมุทรไปค้นหานางสีดา ในกรุงลงกา นางสีดาประทับอยู่ใน
สวนอโศก คิดจะผูกคอตาย หนุมานเข้าไปช่วยไว้และกล่าวว่า พระราม
ใช้ให้ตนมา พร้อมกับถวายแหวนจากพระราม นางสีดายอมรับแหวน แต่ไม่ยอมให้หนุมานเป็นผู้พาไปด้วยเหตุที่ว่า "ยักษ์ลักมาลิงลักไปเทพไท้
จะติฉินนินทา"
ภาพสลักบนหน้าบันชั้นที่สอง ด้านทิศตะวันออกของมณฑปปราสาท
ประธานอาจจะเป็นภาพที่แสดงเรื่องราวในตอนนี้



ยุทธภัณฑ์
หรือการรบระหว่างกอบทัพพระรามและกองทัพทศกัณฐ์
ภาพเหตุการณ์ตอนพระรามยกทัพ บนหน้าบันชั้นที่หนึ่ง ของมุม
ประสาทประธาน แสดงภาพการยกทัพของพระรามและพระลักษมณ์
แวดล้อมด้วยไพร่พลวานร การรบระหว่างกอบทัพทั้งสองมีอยู่หลายตอน
เหตุการณ์ตอนสำคัญตอนหนึ่งเรียกว่า ศึกอินทรชิต อินทรชิตลูทศกัณฐ์
มีฤทธิ์มาก แผลงศรนาคบาศ มัดพระราม พระลักษมณ์ไว้ ทศกัณฐ์ให้
นางตรีชฎาพานางสีดีประทับเหาะมาในมษบกแก้วมากการรบ นางสีดา
คิดว่าพระรามตายจริง แต่นางตรีชฎาปลอบว่า หญิงที่ผัวตายขึ้นบุษบก
แล้ว บุษบกจะไม่ลอย แต่นี่ยังลอยอยู่แสดงว่า พระรามไม่ตาย หนุมาน
กำลังจะเหาะไปเอาโอสถที่เกษียรสมุทรมาแก้ เผอิญพระยาครุฑบินมาที่
สนามรบ นาคที่มัดอยู่จึงหายไป (ครุฑกับนาคเป็นศัตรูกัน) ทุกคนจึงรอดชีวิตภาพเหตุการณ์ตอนนี้ปรากฏบนทับหลังและหน้าบันที่อยู่เหนือขึ้นไป ของ
มุขปราสาทประธานด้านตะวันตก



การรบระหว่างกุมภกรรณกับกองทัพราม ภาพพระอคัศตยะ
The battle scene Akastaya and Rama 

ภาพจำหลักที่สันนิษฐานว่า เป็นภาพพระอคัศตยะ กำลังสอนมนตร์แก่พระราม ปรากฏบนหน้าบันด้านทิศใต้ ของอันตราละประสาทประธาน น่าเสียดายที่ภาพจำหลักอยู่ในสภาพที่ชำรุดแตกหน้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังพอมองเห็นได้ว่า เป็นภาพบุคคลคนนั้งคุกเข่า น่าจะหมายถึงพระราม และผู้ติดตาม


พระรามเสด็จกลับเมืองอโยธยา
Rama returning to Ayodhya

ภาพเหตุการณ์ตอนพระรามเสด็จกลับเมืองอโยธยา
ภาพจำหลังบนหน้าบันชั้นที่ 3 ของมุขทิศใต้ปราสาทประธานแสดงภาพพระรามพระลักษมณ์
และนางสีดา ประทับอยู่ในบุษบก เบื้องล่างเป็นแถววานรปะปนกับไพร่พลยักษ์

ภาพเหตุการณ์ในมหาภารตยุทธ
มหาภารตยุทธ เป็นมหากาพย์ที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของอินเดียเป็นเรื่องการทำสงครามระหว่าง ราชวงศ์ปาณฑพกับราชวงศ์เการพ


พิธีสวยมพรพระนางเทราปตี
ปรากฏบนทับหลังประตูชั้นที่สองมุขด้านทิศเหนือ ปราสาทประธาน
โดยแสดงภาพพระอรชุนยิงธนูไปยังเป้าทำเป็นรูปนก ด้านขวาคือนางกำ
นัลของราชธิดาสี่นาง ด้านซ้ายของทับหลังน่าจะหมายถึงพี่น้องปาณฑพ
ที่ปลอมเป็นพราหมณ์ พระอรชุนสามารถยิงธนูได้ถูก จึงได้อภิเษกกับนาง
เทราปตี


ภาพที่สันนิษฐานว่า เป็นภาพพระกฤษณะประทับนั่งท่ามกลางพวกปาณฑพ
ปรากฏบนทับหลังด้านทิศใต้ของอันตราละปราสาทประธาน ภาพชำรุด
ลางเลือนอย่างมาก ภาพนี้อาจจะเป็นเหตุการณ์ตอนพระกฤษณะชี้แจงแก่ฝ่าย
ปรณฑพ ถึงการล้มเหลวในการเจรจากับฝ่ายเการพและขอให้เตรียมตัวทำสงคราม
ภาพการกรีฑาทัพของพวกปาณฑพ ปรากฏบนซุ้มบัญชรบนชั้นเชิง
บาตรชั้นที่ 2 ด้านทิศเหนือปราสาทประธาน และภาพการสงคราม 
ระหว่างราชวงศ์ปาณฑพกับราชวงศ์เการพ ปรากฏบนซุ้มบัญชรบนชั้นเชิง
บาตรชั้นที่ 2 ด้านทิศใต้
อย่างไรก็ตามภาพทั้งสองนี้ อาจเป็นภาพแสดงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนดินแดนแถบนี้ ในช่วงเวลาที่ร่วมสมัยกับปราสาทพนมรุ้งก็ได้
นอกจากภาพจำหลักพระศิวะ และพระวิษณุแล้ว ยังมีการจำหลักภาพเทพชั้นรองอื่น ๆ อีกได้แก่


พระอินทร์
ในศาสนาฮินดูโบราณ พระอินทร์เป็นเทพแห่งพายุและการสงคราม แต่ในศาสนา
ฮินดูยุคหลังความสำคัญของพระองค์ได้คลายลง จนบางครั้งมีฐานะเป็นเพียงเทพผู้รักษาทิศ
ตะวันออกเท่านั้น ภาพสลักพระอินทร์ปรากฏหลายแห่ง เช่น ที่หน้าบันด้านทิศใต้ของปรางค์
น้อย เป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร ภาพพระอินทร์บนทับหลังด้านนอกของ
โคปุระทิศตะวันออก เป็นภาพ พระอินทร์ประทับนั่งเหนือหน้ากาล ซึ่งโดยทั่วไปพระอินทร์
จะประทับเหนือช้างเอราวัณแต่ในศิลปะเขมรหน้ากาล มักจะแสดงในความหมายของสิงหาสน์
บางครั้งก็ใช้เป็นที่ประทับของพระอินทร์ ภาพพระอินทร์ในลักษณะนี้ยังปรากฏที่ทับหลัง
ของมุขด้านทิศใต้ปราสาทประธานอีกด้วย



เทพประจำทิศ
เทพผู้รักษาทิศในศาสนาฮินดูมีประจำ 8 ทิศ คือ ทิศหลัก 4 และทิศเฉียงอีก 4 ทิศ
ในคัมภีร์ อัคนิปุราณะ กล่าวว่า นอกจากจะมีเทพประจำทิศทั้งแปดแล้ว ยังมีเทพประจำทิศ
เบื้องบนคือ พระพรหมและเทศประจำทิศเบื้องล่าง คือ พญาอนันคตนาคราช รวมเป็น 10 ทิศ
ภาพจำหลักเทพประจำทิศ ที่ปราสาทพนมรุ้งปรากฏอยุ่ 2 ลักษณะ คือ เป็นภาพจำหลักบนกลีบขนุนซึ่งตั้งอยู่เนือซุ้มบัญชรบนชั้นเชิงบาตร
ภาพสลักเทพประจำทิศบนกลีบขนุนปราสาท ปรากฏใน 4 ทิศหลัก ดังนี้

พระอินทร์
เทพประจำทิศตะวันออก พระหัตถ์ขวาชูวัชระคู่ประทับบนช้างเอราวัณ
















พระยม เทพประจำทิศใต้ พระหัตถ์ขวาชูคทาประทับบนกระบือ
พระกุเวร
เทพประจำทิศเหนือ พระหัตถ์ขวาชูกรอบอง ประทับบนคชสีห์

พระวรุณ
เทพประจำทิศตะวันตก พระหัตถ์ขวาชูบ่วงบาศ ประทับบนแท่นหงส์แบก 3 ตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น