วันจันทร์, มิถุนายน 30

ประวัติอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จ.เพรชบุรี

   อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่สร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี


ประวัติ
   พระนครคีรีเป็นพระราชวังที่ประทับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยเป็นพระราชวังฤดูร้อนโดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เป็นแม่กองในการก่อสร้างโดยก่อสร้างแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2403 โดยพระนครคีรีแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้

   ยอดเขาด้านทิศตะวันออก บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของวัดมหาสมณาราม ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่งบนผนังทั้งสี่ด้าน เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว เป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ภายในวัดพระแก้วประกอบด้วยพระอุโบสถขนาดเล็ก ประดับด้วยหินอ่อน ด้านหลังเป็นพระพุทธเสลเจดีย์ (บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นหอระฆังรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมขนาดเล็ก

   ยอดเขากลาง เป็นที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมเพชรมีลักษณะเป็นเจดีย์สีขาว ทรงลังกา มีความสูงจากฐานเจดีย์ 40 เมตร ลักษณะภายในฐานกลวงเป็นหอกลมกลางฐานตรงกลางมีเสาใหญ่รับน้ำหนักองค์พระเจดีย์ รอบพระเจดีย์มีทางเข้าไปยังหอกลมสีทางด้วยกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าให้บูรณะเจดีย์เก่าที่มีอยู่แล้วและได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ มีผู้เชื่อว่าผู้ที่มานมัสการพระธาตุจอมเพชรด้วยจิตอันบริสุทธิ์ จะมีอานิสงส์ส่งผลให้ชื่อเสียงขจรขจายไปกว้างไกล เปรียบประดุจชัยภูมิของพระธาตุจอมเพชรที่ตั้งอยู่บนเขาสูง แวดล้อมด้วยหมู่มวลพระที่นั่งในพระราชวังพระนครคีรี และยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นพระที่นั่งต่าง ๆ บนยอดเขาอีก 2 ยอด รวมทั้งทิวทัศน์ของตัวเมืองเพชรบุรีได้อีกด้วย


หมู่พระที่นั่ง
โดยพระที่นั่งองค์ต่างๆประกอบด้วย

พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์
   เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่งต่างๆ สร้างเป็นสถานปัตยกรรมแบบยุโรปประยุกต์กับสถาปัตยกรรมไทยและจีนในรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้จัดเป็นที่รับรองแขกเมือง   ประกอบด้วยท้องพระโรง ด้านหน้าจัดเป็นห้องเสวย  ด้านหลังเป็นห้องบรรทม มุขด้านตะวันออกจัดเป็นห้องสรงและห้องบังคล  แต่ละห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนและเครื่องราชูปโภคอย่างสวยงาม  ด้วยศิลปะยุโรป  ศิลปะจีน  ศิลปะญี่ปุ่น และศิลปะเปอร์เซีย ปัจจุบันปรับปรุงจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี

พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์
  ลักษณะเป็นพระที่นั่งสองชั้น คล้ายเก๋งจีนอยู่ติดกับพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์นี้ เป็นพระวิมานที่บรรทมของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเชื่อมต่อกับพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ทางด้านใต้  ชั้นบนแบ่งเป็นห้อง ๆ ด้านใต้ประดิษฐานแท่นพระบรรทมแกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้ ห้องด้านเหนือเป็นห้องทรงพระอักษร ชั้นบนมีห้องบรรทม ห้องโถงและห้องแต่งพระองค์ ส่วนด้านล่างเป็นห้องโถงสองห้อง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ที่พระที่นั่งแห่ง

พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท
   "พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท" ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์ 5 ยอด ตามพระราชนิยมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มียอดปรางค์ใหญ่อยู่กลาง และปรางค์เล็กอยู่ 4 มุม บนฐานสูงซ้อนกัน 3 ชั้น มีระเบียงแก้วโดยรอบแต่ละชั้น ระเบียงชั้นบนสุดมีโดมโปร่งที่มุมทั้งสี่ ตัวปราสาทประดับลายปูนปั้น ภายในประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หล่อด้วยสำริด ทรงฉลองพระองค์แบบตามพระราชนิยม ทรงพระมาลาสก๊อต พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ พระหัตถ์ซ้ายทรงสมุดหนังสือ ทรงยืนใต้นพปฎลเศวตฉัตร จากพระที่นั่งองค์นี้มีประตูออกไปสู่ พระที่นั่งราชธรรมสภา

พระที่นั่งราชธรรมสภา
   เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว หลังคามุงด้วยกระเบื้องแบบจีนศิลปะผสมระหว่างศิลปะยุโรป จีน และไทย   ส่วนประตูทำโค้งตกแต่งหัวเสาเป็นแบบศิลปะโรมัน  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้เป็นที่ประชุมสาธยายธรรม  และพระราชพิธีสงฆ์  ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดัดแปลงเป็นห้องเสวยและเป็นที่ประทับของพระบรมวงศ์ที่ตามเสด็จด้วย ทรงใช้เป็นที่ประชุมส่วนพระองค์บรรยายธรรมะถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ดัดแปลงเป็นห้องเสวยสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ตามเสด็จ ในปัจจุบันใช้เป็นอาคารแสดงนิทรรศการ จุดเด่นจะอยู่ตรงประตูบ้านโค้งสีเขียว ตัดกับผนังสีขาวที่มีลายปูนปั้นสวยงาม

พระที่นั่งสันถาคารสถาน
   เป็นหมู่พระที่นั่งขนาดใหญ่ ตัวพระที่นั่ง 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนแบบตะวันตก หลังคามุงกระเบื้องกาบกล้วย มีสันหลังคาทับแบบจีน ชั้นบนเป็นห้องพักทั้ง 2 ฝั่ง ชั้นล่างด้านหน้าเป็นห้องรับแขกมีหน้ามุขยื่นออกไปเป็นที่ประทับทอดพระเนตรนาฏศิลป์ (ลานกระเบื้องด้านหน้า) ในสมัยรัชการที่ 4 ใช้เป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายใน ต่อมาให้เป็นที่รับแขกเมือง ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานของพระนครคีรี



หอต่างๆ
หอชัชวาลเวียงชัย
   ลักษณะเป็นหอทรงกลมสูงคล้ายกระโจมไฟ มีบันได้เวียนสำหรับเดินขึ้น-ลง ชั้นบนรอบนอกเป็นระเบียงซึ่งประดับด้วยลูกกรงแก้ว หลังคาเป็นรูปโดมมุงด้วยกระจกโค้งภายในมีโคมไฟห้อย ซึ่งกลางคืนจะมองเห็นแสงไฟไกลไปถึงชายทะเล และเมื่อนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมบนหอชัชวาลเวียงชัยแห่งนี้แล้ว ก็จะมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของเมืองเพชรบุรี นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าชมอีกมากมายบนเขาวังแห่งนี้ หากนักท่องเที่ยวมาถึงควรเที่ยวชมให้ครบทุกสถานที่

หอพิมานเพชรมเหศวร์
   หอพิมานเพชรมเหศวร์ ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็ก ๆ หน้าพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ เป็นหอขนาดเล็ก ๓ หอ หอกลางมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ หอด้านขวาเป็นศาลเทพารักษ์ หรือที่เรียกกันว่าศาลพระภูมิเจ้าที่ หอด้านซ้ายใช้เป็นที่ประโคมสังคีตหอพิมานเพชรมเหศวร์ นี้เคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีโสกันต์ ที่หอกลางใหญ่ได้กั้นผนังไว้สำหรับใช้เป็นห้องบรรทมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่พระองค์ทรงถืออุโบสถศีล ขณะที่ประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ เช่นเดียวกับหอเสถียรธรรมปริต ในพระบรมมหาราชวัง

หอจตุเวทปริตพัจน์
   หอจตุเวทปริตพัจน์ เป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสดับพระธรรมเทศนา ในวันพระธรรมสวนะ



ศาลาต่างๆ
ศาลาทัศนานักขัตฤกษ์
   เป็นศาลาที่ประทับทอดพระเนตรการจัดงานนักขัตฤกษ์และประเพณีต่างเช่นงานสงกรานต์ศาลานี้อยู่ใกล้ทางเข้าฝั่งวัดมหาสมณารามวรวิหาร



ป้อมต่างๆ
ป้อมของพระนครคีรีมีทั้งหมด 5 ป้อมดังนี้

-ป้อมทศรถป้องปก
-ป้อมวิรุฬหกบริรักษ์
-ป้อมวิรุฬปักษ์ป้องกัน
-ป้อมเวสสุวรรณรักษา
-ป้อมวัชรินทราภิบาล
-ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นป้อมเหล่านี้อยู่



ประตู
ประตูต่างๆในพระนครคีรีมีทั้งหมด8ประตูดังนี้

-ประตูนารีประเวศ
-ประตูวิเศษราชกิจ
-ประตูราชฤทธิแรงปราบ
-ประตูอานุภาพเจริญ
-ประตูดำเนินทางสวรรค์
-ประตูจันทร์แจ่มจำรูญ
-ประตูสูรย์แจ่มจำรัส




สิ่งก่อสร้างอื่นๆ
-โรงรถ อยู่ทางซ้ายมือของทางขึ้นเขา รถในที่นี้คือรถม้า
-โรงม้า อยู่ทางขวามือทางขึ้น เหนือวัดมหาสมณาราม
-ราชวัลลภาคาร เป็นที่พักมหาดเล็ก และข้าราชบริพาร
-ศาลาลูกขุน อยู่ทางขวามือของทางขึ้น ใช้เป็นที่ประชุมลูกขุนที่ตามเสด็จ
-ศาลาเย็นใจ อยู่ทางซ้ายมือของทางขึ้น ใช้เป็นที่พักผ่อน
-โรงมหรสพ อยู่ด้านพระที่นั่งสันถาคารสถาน



วัดมหาสมณารามราชวรวิหาร
   วัดมหาสมณาราม ตั้งอยู่ในเขตตำบลคลองกระแชง อำเภอเมือง ฯ เดิมชื่อวัดสมณะ หรือวัดมหาสมณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จมาประทับเมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ ต่อมาเมื่อได้สร้างพระนครคีรีแล้ว จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้บูรณะวัดแห่งนี้ พระราชทานนามว่า วัดมหาสมณาราม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกว่า วัดเขาวัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร อุโบสถวัดมหาสมณาราม ฯ ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถเขียนด้วยสีฝุ่น กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของ ขรัวอินโข่ง จิตรกรเอกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเขียนภาพของขรัวอินโข่งมีลักษณะเฉพาะตัวคือ จะวางภาพเต็มพื้นที่ทั้งหมด ไม่มีภาพเทพชุมนุมเรียงเป็นแถวแบบเดิม มีแต่ภาพเหล่าเทวดานางฟ้า ปรากฏตามก้อนเมฆบ้าง ภาพที่เขียนจะอยู่ในเนื้อเดียวกันทั้งหมด จะมีการแบ่งภาพเป็นตอน ๆ ฉากหลังมักเป็นภาพธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ผนังหน้าพระอุโบสถ เขียนภาพการเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท ถือว่าเป็นภาพชิ้นเยี่ยมของพระอุโบสถประกอบด้วยทิวทัศน์อันงดงาม มณฑปพระพุทธบาทตั้งอยู่บนไหล่เขาซึ่งอุดมไกด้วยต้นไม้นานาชนิด เบื้องล่างเป็นภาพที่มีความงามตามธรรมชาติ มีการจัดภาพอย่างงดงามลงตัว เป็นประโยชน์ในการศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณี



ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานประวัติศาสตร์พระนคร






วันอาทิตย์, มิถุนายน 22

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี


อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี

๑. ที่ตั้ง

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรีหรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “เขาวัง” นั้น เดิมเป็นพระราชวัง ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๑๒๑ กิโลเมตร

“พระนครคีรี” ตั้งอยู่บนยอดเขา ๓ ยอด ที่ยาวติดต่อกัน มีพื้นที่ประมาณ ๑๘๘ ไร่ ยอดเขามีความสูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๘๐ - ๙๐ เมตร

๒. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

จากการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีพบว่า เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่บริเวณภูเขาด้านทิศตะวันตก และบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเพชรบุรี มีคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ หลักฐานที่พบได้แก่ ภาชนะดินเผา ลูกปัดหิน และเครื่องประดับสำริด เช่น แหวน กำไล

การติดต่อค้าขายกันทางทะเล ทำให้วัฒนธรรมของประเทศอินเดียเริ่มเข้ามาสู่พื้นที่บริเวณนี้ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ โดยได้พบโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมแบบทวารวดีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น โบราณสถานทุ่งเศรษฐี ที่บ้านโคกเศรษฐี ตำบลนายาง อำเภอชะอำ มีเนินโบราณขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐ

ต่อมาอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณได้ขยายตัวขึ้นบริเวณนี้ ปรากฏหลักฐานที่หลงเหลืออยู่คือ โบราณสถานที่วัดกำแพงแลง ซึ่งมีลักษณะเป็นปรางค์ และพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรด้วย จึงถือเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายานที่ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมรแบบบายน มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และพระนามของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ ๑ จากหลักฐานทางศิลปะ ปราสาทหินพิมายอยู่ระหว่างตอนปลายของศิลปะเขมรแบบบาปวน กับตอนต้นของศิลปะเขมรแบบนครวัด คือ ประมาณตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ สืบมาจนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๖๒) ซึ่งโปรดให้สร้างพระรูปของพระองค์ประดิษฐานไว้ที่ปรางค์พรหมทัต ภายในบริเวณปราสาทหินพิมาย

เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรเริ่มเสื่อมลงหลังสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในเวลาต่อมา ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่เกี่ยวกับเมืองพิมายอีกเลย เมืองพิมายกลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่งเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ กรมหมื่นเทพพิพิธ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงรวบรวมผู้คนตั้งตัวเป็นใหญ่เรียกว่า ก๊กเจ้าพิมาย ขึ้นที่เมืองนี้ แต่ในที่สุด สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงปราบปรามได้ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งหลวงปลัดพิมาย ยังคงมีปรากฏอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ เมืองนครราชสีมา ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ ได้รวมกันเป็นมณฑลนครราชสีมา เมืองพิมายจึงมีฐานะเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองนครราชสีมา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ และต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๙ กรมศิลปากรได้จัดตั้งโครงการอุทยานประวัติศาสตร์พิมายขึ้น และได้ทำการบูรณะปรับปรุง จนแล้วเสร็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ เมืองเพชรบุรีคงเป็นเมืองที่สำคัญสืบมาจนถึงสมัยสุโขทัย ซึ่งปรากฏชื่อเมืองเพชรบุรี ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ว่า “เบื้องหัวนอน รอดคนที พระบางแพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี...”

ในสมัยอยุธยายังคงปรากฏชื่อเมืองเพชรบุรี ในกฎหมายที่ตราขึ้น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยากับหัวเมืองภาคใต้ จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองเพชรบุรีในสมัยรัตนโกสินทร์ ยังคงความสำคัญในฐานะเมืองทางยุทธศาสตร์ เพื่อควบคุมหัวเมืองทางภาคใต้ และทำศึกสงครามกับพม่า นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔) ทรงผนวช ได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีหลายครั้ง เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สร้าง “พระนครคีรี” ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๒ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการซ่อมแซมตัวอาคาร ที่เกิดความเสียหาย เนื่องจากเกิดฟ้าผ่าใน พ.ศ. ๒๔๒๖ หลังจากนั้นแล้ว ไม่พบหลักฐานว่า ได้มีการซ่อมบำรุงแต่อย่างใด จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๔๙๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชดำริ ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระนครคีรี กรมศิลปากรจึงได้ทำการซ่อมแซมอาคารแต่เพียงบางหลังเท่านั้น ครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ กรมศิลปากร จึงได้จัดทำโครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี และได้แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐

ปัจจุบัน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญ ในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเป็นองค์ประธาน ประกอบพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒

๓. โบราณสถานสำคัญ

ในการก่อสร้างพระนครคีรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้นำสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสิก มาเป็นแบบอย่างในการก่อสร้าง แต่ฝีมือช่าง ยังมีอิทธิพลของสถาปัตยกรรมจีนเข้ามาผสมผสานอยู่ด้วย เช่น การปั้นสันหลังคา และการใช้กระเบื้องกาบกล้วย สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดอยู่บนยอดเขาทั้ง ๓ ยอด มีรายละเอียดดังนี้

๑) ยอดเขาด้านทิศตะวันออก

เป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว ประกอบด้วย พระอุโบสถ พระสุทธเสลเจดีย์ หอระฆัง ศาลา และพระปรางค์แดง

๒) ยอดเขากลาง

เป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ทรงกลม มีฐานทักษิณโดยรอบ ได้รับพระราชทานนามว่า “พระธาตุจอมเพชร”

๓) ยอดเขาด้านทิศตะวันตก

เป็นที่ตั้งของพระราชวัง ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งและอาคารต่างๆ ซึ่งพระราชทานนามไว้คล้องจองกัน คือ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท พระที่นั่งราชธรรมสภา หอชัชวาลเวียงชัย หอพิมานเพชรมเหศวร์ ตำหนักสันถาคารสถาน โรงมหรสพหรือโรงโขน กลุ่มอาคาร นารีประเวศ

ที่มา http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=29&chap=4&page=t29-4-infodetail07.html

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 19

ประวัติความเป็นมาเขาพนมรุ้ง (2)


ภาพจำหลักแสดงชีวประวัติ
ของนเรนทราทิตย์



พิธีอภิเษกนเรนทราทิตย์ ปรากฏบนทับหลังประตูชั้นที่สองมุขด้านทิศใต้ ปราสาทประธาน ภาพนี้น่าจะหมายถึงพิธีอภิเษกนเรนทราทิตย์ตรงกลางเป็น
ภาพพระองค์ ทรงฉลองพระองค์ แวดล้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพาร
โยคฑักษิณามูรติ ปรากกฏบนหน้าบันด้านนอกของโคปุระ หลังกลางระเบียงคดทิศตะวันออก โดยสลักภาพตรงกลางเป็นรูปฤษี ซึ่งน่าจะหมายถึง
พระศิวะ ในภาคโยคฑักษิณามูรติ ผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจหมายถึงท่านนเรนทราทิตย์


ภาพเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของนักบวช

บริเวณปราสาท พนมรุ้ง


ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้มีการจำหลักภาพฤษี หรือ นักบวช ประดับตามส่วนต่าง ๆ เป็นจำนวน
มาก โดยมีอิริยาบถที่หลากหลายแสดงถึงการให้ความสำคัญกับฤษีเป็นพิเศษ ภาพสลักฤษีส่วนใหญ่
นั่งในท่าโยคาสพนมมือ แต่ฤษีบางตนแสดงอิริยาบถที่ต่างออกไป เช่น นั่งขัดสมาธิราบ นั่งพับเพียบ
ถือลูกปะคำ และกระดิ่ง นั่งชันเข่า พนมมืออยู่เหนือศีรษะ

นอกจากนี้ก็ยังมีภาพที่แสดงถึงชีวิตประจำ
วันของฤษี เช่น ภาพบุคคลถวายสิ่งของแก่ฤษี บนหน้าบันชั้นลดมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
มุขทิศเหนือ ภาพการศึกษาคัมภีร์บนหน้าชั้น
ลดทิศตะวันตก ด้านทิศใต้ของมณฑป ภาพการ
รีดนมวัวของฤษี บนหน้าบันชั้นลดมุมทิศตะวัน
ออกเฉียงเหนือของมุขทิศเหนือ





ภาพราคะศิลป์
ถึงแม้ว่า การสลักภาพประดับตามส่วนต่าง ๆ ของปราสาทพนมรุ้ง จะเป็นงานที่เกี่ยวเนื่องในศาสนา ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีความเคร่งครัดนั้นใน
บางครั้งความมีอารมณ์ขัน อารมณ์อ่อนไหวของช่างและการไม่เคร่งครัดของผู้ควบคุม ช่างผู้ทำการสลักภาพได้สร้างงานแบบที่เรียกว่า ราคะศิลป์ ขึ้น
ภาพในลักษณะนี้ไม่ค่อยปรากฏในศิลปะเขมรโดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน แต่สามารถพบเห็นได้ในงานศิลปกรรมที่ปรากฏในประเทศไทย
หลายแห่ง แม้แต่ที่ปราสาทพนมรุ้งแห่งนี้ภาพราคะศิลป์ที่ปราสาทพนมรุ้ง มีปรากฏอยู่หลายภาพ เช่น ภาพฤษีสองตนนั่งไขว่ห้าง

ศึกษาคัมภีร์ หันหลังชนกันที่โคนเสาติดผนังด้านทิศตะวันออก ประตูด้านทิศใต้ของอันตราละ 
ภาพคู่ของสัตว์ เช่น ภาพนกแก้วคู่บนหน้าบันชั้นแรกมุขด้านทิศตะวันตก ภาพวานรบนต้นไม้บน
หน้าบันด้านทิศเหนือของอันตราละ รูปคู่ของวานรบนผนังด้านทิศใต้ของสะพานนาคราชหน้าบัน
ไดทางขึ้นปราสาท






สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม 

ปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีองค์ประกอบและแผนผัง
ในแนวแกนที่เน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง คือ ที่ปราสาท
ประธานแผนผังของปราสาทประกอบด้วย อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เรียงตัวกันในแนวยาวตามแนวลาดชันของเขาพนมรุ้ง ดังนี้



บันไดต้นทาง
บันไดต้นทาง จากกระพักเขาด้านล่าง ทางทิศตะวันออกที่ก่อด้วยศิลาแลง เป็นชั้น ๆ 3 ชั้น สุดบันไดขึ้นมาเป็น ชาลารูปกากบาท ยกพื้นตรงกลางสูงกว่าปีก 2 ข้างเล็กน้อย ปูด้วยศิลาแลง เข้าใจว่าเป็นฐานพลับพลารูปกากบาทซึ่งเป็นซุ้มประตูทางเข้า (โคปุระชั้นนอก) ด่านแรกของปราสาทซุ้มประตูนี้คงมีรูปทรงคล้ายกับซุ้มประตูของระเบียงคด
ทิศตะวันออก ซึ่งเป้นทางเข้าด่านสุดท้าย (โคปุระชั้นใน) แต่ไม่มีวัสดุก่อสร้าง เหลือเป็นหลักฐานให้ทราบชัด อาจจะเป้นพลับพลาโถง สร้างด้วยไม้มุงกระเบื้องก็ได้ ด้านในพลับพลาค่อย ๆ ลาดลงสู่ทางเดินที่นำไปสู่บันไดทางขึ้นปราสาทของเดิม อาจมีบันไดก่อด้วยศิลาแลง หรือ หินทรายทอดลงไปเป็นชั้น ๆ



ทางทิศเหนือของชาลากากบาทมีอาคารโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 6.40 เมตร ยาว 20.40 เมตร ก่อด้วยศิลาแลงมีหินทรายประกอบบางส่วน อาคารนี้หันหน้าไปทางทิศใต้มีทางเข้าออกอยู่ทางทิศตะวันออกและอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคาร บนฐานพลับพลามีเสาหิน 4 ต้น มีระเบียงทางเดินล้อมอาคาร รวม 3 ด้าน ยกเว้นด้านหน้า เข้าใจว่า ของเดิมอาจมีหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องนอกระเบียงมีกำแพงชั้นนอกก่อด้วยศิลาแลงล้อมอยู่โดยรอบอีกชั้นหนึ่ง มีทางเข้าด้านหน้าซึ่งเชื่อมต่อมาจากชาลารูปกากบาท พลับพลาโถงหลังนี้ อาจเป็นอาคารที่เรียกกันในสมัยปัจจุบันว่า "พลับพลาเปลื้องเครื่อง" คือเป็นที่พักจัดเตรียมพระองค์ เช่น เปลื้องเครื่องทรงที่แสดงยศศักดิ์ และจัดกระบวนเสด็จของกษัตริย์ยาเสด็จมาสักการะเทพเจ้า หรือประกอบพิธีกรรม ณ ศาสนสถานแห่งนี้
พลับพลาเปลื้องเครื่องนี้ ในศิลปะแบบบายน เห็นได้จากการใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุก่อสร้างหลักลวดลายกลีบบัวที่สลักบนหัวเสาและลายดอกไม้สี่กลีบบนยอดเสา เว้นแต่เศียรนาคที่กรอบหน้าบันสลักลายแบบ ศิลปะคลัง อายุประมาณ ต้นพุทธศตวรรณที่ 16 ซึ่ง่คงจะเป็นการนำของเก่ามาประดับอาคารหลังใหม่ การเอาของเก่ามาใช้เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่พบทั่วไป ทั้งที่อาคารอื่น ๆ ในปราสาทพนมรุ้ง และที่ปราสาทอื่น ๆ
พลับพลาแห่งนี้เรียกกันทั่วไปว่า โรงช้างเผือก ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าปราสาทบนยอดเขาคือ พระราชวังของกษัตริย์แต่โบราณ ซึ่งมักจะมีโรงช้าง โรงม้าอยู่ข้าหน้า และที่เรียกกันว่าโรงช้างเผือก เพราะกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ย่อมจะมีช้างเผือกคู่บารมีอยู่ด้วย



ทางเดิน
เป็นทางเดินเท้าที่ต่อมาจากบันไดชาลารูปกากบาท ที่อาจเป็น ซุ้มประตูชั้นนอก ทอดไปยังบันไดขึ้นสู่ปราสาท ปูพื้นด้วยศิลาแลง ขอบเป็นหินทราย ยาว 160 เมตร กว้าง 9.2 เมตร ขอบถนนทั้งสองข้ามีเสาหินทรายเรียกว่า เสานางเรียง มียอดคล้ายดอกบัวตูม สู่ง 1.60 เมตร จำนวน 68 ตัน ตั้งแรียงอยู่เป็นระยะ ๆ ตรงกันทั้ง 2 แถว ลักษณะเสาและทางเดินเช่นนี้พบที่ปราสาทหลายแห่งในประเทศกัมพูชา เช่นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบันทายศรี และปราสาทพระขรรค์














สะพานนาคราช
ชั้นที่ 1
สะพานนาคราช มีความหมายเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่าง โลกมนุษย์ กับโลกของเทพเจ้า เพราะในความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของฮินดูสะพานที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าคือสายรุ้ง ในเอเชียตะวันออก และอินเดียมักจะเปรียบสายรุ้งกับงู(นาค) หลากสี ที่ชูหัวไปยังท้องฟ้าหรือกำลังดื่มน้ำจากทะเล ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้บางครั้ง จะกล่าว ถึง งู (นาค) สองตัว เนื่องจาก มักเกิดรุ้งกินน้ำ 2 ตัว อยู่เสมอ ๆ ดังนั้นจึงอาจจะเป็นรุ้งกินน้ำคู่ที่เป็นเครื่องหมาย แสดงทางเดินของเทพเจ้าไปสู่ท้องฟ้านี้เองที่เป็นสิ่งบันดาลใจให้สร้างนาคเป็นเรา สะพานอันเปรียบเสมือนตัวแทนของทางเดินแห่งเทพเจ้าที่จำลองมาไว้ในโลก


สะพานนาคราชชั้นที่ 1 ก่อด้วยหินทราย ผังเป็นรูปกากบาท กว้าง 8.20 เมตร ยาว 20.00 เมตร ยกพื้นสูงจากถนน 1.50 เมตร ด้านหน้าและด้านข้างลดชั้น มีบันไดเป็นอัฒจันทร์รูปปีกกาเป็นทางขึ้น ส่วนด้านหลังเป็นชานกว้างเชื่อมต่อกับบันไดขึ้นปราสาท เสาและขอบสะพานสลักลวดลายงดงาม ราวสะพานทำเป็นลำตัวของพญานาค 5 เศียร หันหน้าออกแผ่พังพานทั้ง 4 ทิศ ลักษณะของเครื่องประดับพญานาคมีรัศมีเป็นแผ่นสลักลวดลายในแนวนอนอันเป็นลักษณะศิลปะกรรม แบบนครวัดซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 17
ทางทิศเหนือของสะพานนาคราช มีอัฒจันทร์รูปกากบาท เป็นทางลงสู่ฉนวนทางเดินไปยังสระน้ำ ลักษณะถนนนี้อัดดินแน่น แต่งของสองข้างด้วยศิลาแลง
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นอีกอย่างที่สะพานนาคราชคือ ตรงกลางสะพานมีลายดอกบัวบาน 8 กลีบ จำหลักลงในเนื้อหินล้อมรอบด้วยยันต์ขีดเป็นเส้นคู่ขนานกันไปกับราวสะพาน หัวยันต์ขมวดเป็นรูปกลีบดอกบัว ลักษณะเช่นนี้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่าง บ้างก็ว่ากลีบดอกบัวทั้ง 8 นี้อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปดในศาสนาฮินดูหรืออาจเป็นยันต์สำหรับบวงสรวงและประกอบพิธีกรรม หรืออาจจะเป็นจุดกำหนดที่ผู้มาทำการบูชาเทพเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าหรือขอพรอันศักดิ์สิทธิ์

บันไดขึ้นปราสาท
ต่อจาก สะพานนาคราชชั้นที่ 1 อันเป็นจุดเชื่อมแห่งเทพเจ้า เป็นทางเดินขึ้นไปยังลานบนยอดเขาทำเป็นบันไดหินทราย สูง 10 เมตร มี 5 ขั้น จำนวน 52 ชั้น มีชานพัก 5 ชั้น บันไดและชานพักแต่ละชั้นลดหลั่นกัน ขึ้นไปตามลำดับความสูง ให้ความรู้สึกของยอดเขาที่สูงเสียดยอดขึ้นไป สู่สวรรค์ ทั้ง 2 ข้าง ของชานพักมีเสาหินทราย เจาะรูตรงกลาง สันนิษฐานว่าใช้สำหรับปักเสาธงในเวลาที่มีเทศกาลในพิธีกรรมต่าง ๆ หรืออาจเป็นเสาโคมไฟ


บันไดขึ้นปราสาทEntrance Stairway

ทางสู่ปราสาท
ถัดจากบันไดชั้นบนสุด เป็นลานกว้างอยู่หน้าระเบียงคด มีสระสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 5 x 5 เมตร จำนวน 4 สร


ช่องสี่เหลี่ยม 4 ช่อง เกิดจากการทำทางเข้าตักันเป็นรูปกากบาท
ปัจจุบันปลูกบัวประดับไว้เพื่อความสวยงาม
The pools before entering eastem Getewa



สะพานนาคราช
ชั้นที่ 2
ก่อนจะเข้าซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของระเบียงคดมีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 รับอยู่อีกช่วงหนึ่ง สะพานนาคราชช่วงนี้ยกระดับสู่ง 1.20 เมตร ผังและรูปแบบเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 แต่มีขนาดเล็กกว่า คือ กว้าง 5.20 เมตร ยาว 12.40 เมตร ที่ศูนย์กลางบนพื้นหินของสะพานจำหลักรูปดอกบัวบาน 8 กลีบ อยู่ในวงกลมล้อมรอบด้วยเส้นคู่ขนานตัดกันไปตามผังรูปกากบาท เช่นเดียวกัน มีทางขึ้นเป็นอัฒจันทร์รูปปีกกา 3 ด้านส่วนด้านทิศตะวันตกเชื่อมต่อกับซุ้มประตูระเบียงคด



สะพานนาคราช ชั้นที่ 2 เชื่อมระหว่าง่ทางเดินเส้นกลางกับซุ้มกลาง
ระเบียงคดทฺศตะวันออกซึ่งเป็นทางสำคัญ
The Second Naga Bridge Leading to eastern Gateway

ระเบียงคด
ก่อนจะถึงปราสาทประธานมีระเบียงคดก่อเป็นห้องยาว แต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้โดยตลอดเพราะทำผนังกั้นเป็นช่วง ๆ



ระเบียงด้านทิศตะวันออกและตะวันตกมีผังอย่างเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายขนาดกว้าง 2.6 เมตร ยาว 59 เมตร ส่วนด้านทิศเหนือ-ทิศใต้ ซึ่งมี ผังคล้ายกัน ความยาว 68 เมตร โดยประมาณ มุงหลังคาเหลื่อมเข้าหากันเป็นรูปโค้งคล้ายประทุนเรือ แต่สลักด้านบนเลียบแบบหลังคากระเบื้องประดับสันหลังคาด้วยบราสีหินทราย แกะสลักเป็นรูปทรงคล้ายดอกบัวตูมระเบียงด้านทิศใต้ก่อด้วยหินทรายยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือก่อด้วยศิลาแลง ใช้หินทรายเป็นส่วนประกอบ เช่น กรอบประตู หน้าต่าง บัวรับหลังคา
ระเบียงคดทั้ง 4 ด้าน มีซุ้มประตู (โคปุระ) ทางเข้าสู่ปราสาทอยู่ตรงกลางและยังมีประตูข้างอีกด้านละ 2 ประตู ยกเว้นด้านทิศใต้ให้เห็นเพียงประตูเดียว ระเบียงคดด้านทิศตะวันออกเจาะช่องตื้น ๆ สลักเป็นหน้าต่างปลอมที่ผนังด้านนอก ผนักงด้านในเจาะช่อง เป็นหน้าต่างจริงเป็นระยะ ๆ ส่วนด้านตะวันตกมีแต่หน้าหลอกทางด้านนอก ด้านทิศเหนือและใต้เจาะหน้าต่างที่ผนังด้านใน
ซุ้มประตูกลางของระเบียงคดด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีมุขทั้งด้านในและด้านนอก ด้านข้างชักปีกออกไปต่อกับห้องของระเบียง จึงมีลักษณะ เป็นห้องรูปกากบาทรูปโค้งลดชั้นประดับสันหลังคาด้วยบราสีส่วนซุ้มประตูหรือโคปุระของระเบียงคดด้านทิศเหนือ และใต้ไม่มีมุข จึงมีลักษณเะเป็นห้องยาว ด้านทิศใต้เจาะประตู 3 ช่อง แต่ด้านเหนือเจาะเพียงช่องเดียวที่มุมอันเป็นจุดบรรจบกันของระเบียงคดทำเป็นซุ้มรูปกากบาท เช่นเดียวกันซุ้มประตูระเบียงคดด้านทิศตะวันออกและตะวันตกแต่ขนาดเล็กกว่า มีให้เห็นอยุ่ 3 มุม ยกเว้นมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซุ้มมุมเหล่านี้จำหลักผนังด้านที่หันออกข้าง 2 ด้าน เป็นประตูหลอกเลียนแบบบานประตูไม้ 2 บานมีอกเลาอยู่ตรงกลาง

ซุ้มประตูระเบียงคดเหล่านี้ ทั้งที่เป็นประตูจริง และประตูหลอกมีการจำหลักลวดลายที่หน้าบัน ทับหลัง เสาประดับกรอบประตู และเสาติดผนัง เช่นเดียวกับที่ส่วนบนของผนังระเบียง ที่หน้าบันและทับหลังมักจำหลักเป็นภาพเล่าเรื่อง ที่ส่วนอื่น ๆ มักเป็นลายพันธุ์พฤกษา








ซุ้มประตูข้าง (ซีกทิศเหนือ) ระเบียงคดทิศตะวันออก หน้าบันสลักภาพการรบระหว่างลิงกับยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์


ชั้นที่ 3

เมื่อผ่านซุ้มประตูกลางของระเบียงคดเข้ามาจะถึงสะพานนาคราชชั้นที่ 3 ซึ่งอยู่ด้านหน้าปราสาทประธาน มีลักษณะเหมือนกับสะพานนาคราชทั้ง 2 ชั้น แต่มีขนาดเล็กลงคือ ขนาดกว้าง 3.40 เมตร ยาว 9.9 เมตร แต่พื้นกลางสะพานไม่จำหลักลายกลีบดอกบัว

สะพานนาคราชช่วงสุดท้าย เชื่อมระหว่างโคปุระด้านทิศตะวันออกกับปราค์ประทานฌเศียรนาคราช
ประดับราวสะพาน เป็นนาคราช 5 เศียร มีรัศมีเช่นเดียวกับสะพานนาคราชช่วงก่อน ๆ



The last Naga bridge connects easten entrance to the Main Sanctuary
ปราสาทประธาน
ปราสาทประธานเป็นสถาปัตยกรรมหลักที่สำคัญที่สุดตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อ มุมขนาดกว้าง 8.20 เมตร สูง 27 เมตร มีมุข 2 ชั้น ทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนทางด้านหน้า คือ ทิศตะวันออกทำเป็นอาคารมีแผนผัง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 8 x 10 เมตร ในตำแหน่งเดียวกันกับสถาปัตยกรรมต้นแบบของอินเดีย ซึ่งเป็นอาคารมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่เรียกว่า มณฑป โดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมขนาด 3.60 x 8.10 เมตร กับปราสาทประธาน มณฑปยังมีมุขอยุ่ทางด้านหน้าอีกที่หนึ่ง ส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดของปราสาทประธานตั้งอยู่บานฐาน 2 ขั้น ย่อมุมรับกันกับอาคาร



ตามแผนผังเช่นนี้มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 เหมือนกันกับแผนผังของผังปราสาทพิมาย เฉพาะองค์ปราสาท ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนฐานเรือนธาตุ และส่วนยอด
ส่วนฐาน ประกอบด้วยฐานเชียงและฐานปัทม์ หรือ ฐานบัวเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นสลักลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายประจำยาม




เรือนธาตุ คือส่วนที่อยู่ถัดขึ้นไปจากฐาน เป็นบริเวณที่เข้าไปภายในได้ห้องภายในนี้ถือเป็นห้องสำคัญที่สุด เรียกว่าห้อง ครรภคฤหะ (garbhagrha) เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุดของศาสนสถานซึ่งในที่นี้คงจะได้แก่ศิวลึงค์ แต่ปัจจะบันเหลืออยู่เพียงร่องรับน้ำสรง ต่อท่อลอดพื้นห้อง ผ่านลานปราสาทออกไปนอกระเบียงคดด้านทิศเหนือเรียกว่าท่อโสมสูตร
ส่วนยอดหรือเรือนยอด ทำเป็นชั้น ๆ (ชั้นเชิงบาตร) ลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น ส่วนยอดสลักเป็นรูปดอกบัวรองรับนภศูลที่สูญหายไปนานแล้ว ที่ชั้งเชิงบาตรแต่ละชั้นประกอบด้วยซุ้มและกลีบขนุน จำหลักเป็นรูปเศียรนาคฤษี (โยคี) เทพสตรี และเทพประจำทิศต่าง ๆ กลีบขนุนปรางค์ที่ประดับตามมุมของ แต่ละชั้นจะสลักให้สอบเอนไปข้างหลัง เป็นเหตุให้ยอดปรางค์มีรูปทรงเป็นพุ่ม

ส่วนประกอบอื่น ๆ ขององค์ปราสาทได้แก่ มุขปราสาทด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตลอดจนมณฑปด้านหน้า มุงหลังคารูปโค้งลดชั้น เช่นเดียวกับซุ้มประตูระเบียงคดหรือโคปุระ
องค์ปราสาทและส่วนประกอบทั้งหมดมีประตูกับเป็นชั้น ๆ อยู่ในแนวตรงกันทุกทิศมณฑปและอันตราละมีประตูช้างทางทิศเหนือและทิศใต้ข้างละ 1 ประตู มีร่องรอยว่าประตูเหล่านี้เคยมีบานประตูไม้ชนิดที่มี 2 บาน มีอกเลาตรงกลางเหมือนกับภาพสลักประตูหลอกที่ระเบียงคด




ที่หน้าประตูด้านนอกทุกทิศมีหลุมสำหรับติดตั้งประติมากรรมขนาบอยู่ 2 ข้าง ประติมากรรมที่ติดตั้งไว้ที่นี่คงจะได้แก่รูป ทวารบาลซึ่งมีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทพเจ้าและที่พื้นหน้าประตูมุขของมณฑปมีอัฒจันทร์จำหลักเป็นรูปดอกบัว 8 กลีบ 3 ดอก น่าจะมีความหมายพิเศษ จึงไม่น่าที่จะใช้ประตูนี้เป็นทางเข้าสู่ห้องภายในมณฑป ประตูที่ใช้เป็นทางเข้าสู่มณฑปจึงได้แก่ประตูข้างทางด้านทิศเหนือและทิศใต้
ส่วนต่าง ๆ ของปราสาทประธาน ตั้งแต่ฐาน ผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลังหน้าบันซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดขนกลีบขนุนล้วนสลักลวดลายประดับ มีทั้งลวดลายดอกไม้ใบไม้ที่เรียกว่าลายพันธุ์พฤกษา ภาพบุคคลซึ่งได้แก่เทพต่าง ๆ เช่นเทพประจำทิศและภาพเล่าเรื่อง่ตามคัมภีร์ทางศาสนาเช่นเรื่องมหาภารตะ เรื่องของพระศิวะ เรื่องของพระวิษณุ ซึ่งมักเป็นเรื่อง อวตาร ปางต่าง ๆ ของพระองค์โดยเฉพาะปางรามาวตารหรือ รามายณะ ที่เรารู้จักกันในชื่อรามเกียรติ์ ดูเหมือนจะมีมากเป็นพิเศษอาจจะเนื่องจากเป็นเรื่องที่นิยมเล่ากันแพร่หลายมากที่สุดในสมัยนั้นก็เป็นได้
จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของปราสาทประธานพอจะกำหนดอายุได้ว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 17


ปรางค์น้อย
  
ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทประธานด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้สร้างเป็นปราสาทสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมขนาด 6 x 6 เมตร สูง 5.5 เมตร ส่วนยอดชำรุดเข้าใจว่าเมื่อมีการก่อสร้างในสมัยหลังได้รือเอาหินส่วนยอดปรางค์องค์นี้ซึ่งขณะนั้นอาจอยู่ในสภาพที่ผังลงมาบ้างแล้วไปใช้ในที่อื่น การนำชิ้นส่วนเก่าไปใช้สร้างอาคารใหม่เช่นนี้มีให้เห็นอีหลายแห่งเป็นต้นว่า เราได้พบชิ้นส่วนหินทรายที่มีสภาพงดงามปูพื้นทางเดินโดยางคว่ำไว้ และได้พบศิลาจารึกเป็นส่วนประกอบของอาคารเป็นต้น แสดงว่าได้มีการนำชิ้นส่วนของอาคารเดิมที่อาจพังลงมาไปไว้ใช้ก่อสร้างอาคารใหม่ในสมัยต่อมาปราสาทองค์นี้ก่อด้วยหินทรายกรุผนังด้านในด้วยศิลาแลง มีประตูเข้าได้ทั้งเดียวคือ ทางด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นด้านหน้า ส่วนด้านอื่น ๆ ก่อผนังทึบแต่สลักเป็นประตูหลอก




ภายในห้องมีแท่นฐานหินทรายสำหรับประดิษฐานรูปเคารพภาพจำหลักประดับส่วนต่าง ๆ ขององค์ปราสาทต่างกันกับปราสาทประธาน ซึ่งหน้าบันจะจำหลักภาพบุคคลแต่ปรางค์น้อย หน้าบันจะจำหลักลายพันธุ์พฤกษาเป็นส่วนใหญ่โดยมีภาพบุคคลขนาดเล็กอยู่ตรงกลางค่อนมาทางด้านล่าง เช่น ที่หน้าบันด้านทิศตะวันออกจำหลักเป็นรูปบุคคลยกแขนซ้ายขึ้นท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษาข้างล่าง ของภาพบุคคลเป็นรูปหน้ากาลหรือเกียรติมุข
ภาพบุคคลดังกล่าวคงแสดงภาพ พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะในเรื่อง กฤษณาวตาร เศียรนาคกรอบหน้าบันทำเป็นเศียรนาคเกลี้ยงไม่มี รัศมีลักษณะดังกล่าวประกอบกับลักษณะของลวดลายจำหลักบนทับหลังตรงกับรูปแบบทางศิลปะเมมรแบบบาปวน ราวพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีลักษณะของแบบศิลปะก่อนหน้านั้น คือ แบบเกลียงหรือคลัง ปะปนอยู่บ้าง ทำให้สามารถกำนดอายุได้ว่าปรางค์น้อยคงจะสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 ก่อนหน้าปราสาทประธาน















ใกล้ ๆ กับปราสาทประธานด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีฐานปราสาทก่อด้วยอิฐอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกขนาด 5 x 5 เมตร อีกองค์หันหน้าไปทางทิศตะใต้ขนาด 5 x 5 เมตร

ปราสาทอิฐ 2 หลังนี้ มีเสาประดับกรอบประตูที่ทำด้วยหินทราย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะได้ศึกษาพบว่า น่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 และพบประติมากรรมหินทราย 2 รูป มีลักษณะศิลปะที่มีอายุใกล้เคียงกันจึงกว่าวได้ว่าปราสาทอิฐคงจะสร้างขึ้นในช่วงนั้น คือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 นับเป็นสถาปัตยกรรมที่มีอายุที่มีอายุเก่าที่สุดที่เหลืออยู่








วิหารหรือบรรณาลัย 2 หลัง


ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง มีประตูเข้าออก ด้านเดี่ยว ภายในไม่มีรูปเคารพหลังคาทำเป็นรูปประทุนเรือโดยการวางหินซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปบรรจบกันแบบเดียวกับหลังคาระเบียงคด

อาคารหลังที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกมีขนาด 11.60 x 7.10 เมตร สูง 5 เมตร ส่วนหลังที่อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีขนาด 14.50 x 8.50 เมตร สูง 3 เมตร หันหน้าไปทางทิศใต้อาจเพื่อหลีกเลี่ยงปราสาทเก่า 2 หลัง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น
อาคารลักษณะนี้ในศิลปะเขมรเรียกว่า บรรณาลัย หมายถึง ที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาซึ่งเป็นที่นิยมสร้างในสมัยบายนพุทธศตวรรษที่ 18





การได้ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืน จากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก



การได้ทับหลังนานายณ์บรรทมสินธุ์ของปราสาทพนมรุ้งคืน จากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ประเทศหสรัฐอเมริกานั้น เป็นผลมาจากการร่วมมือรณรงค์ของคนจำนวนมาก หลายชาติหลายภาษา ทั้งที่อยู่ในและนอกประเทศไทย นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ ที่มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญชิ้นนี้ได้กลับสู่ประเทศไทยผู้เป็นเจ้าของ
หลักฐานที่สำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่า ทับหลังชิ้นนี้เป็นของปราสาทพนมรุ้ง ได้แก่ ภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จประพาสปราสาทพนมรุ้ง เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2472 เป็นภาพถ่ายทับหลังที่แตกหักเป็น 2 ชิ้น ภาพถ่ายนี้เหมือนกับที่นายมานิต วัลลิโภดม ได้ถ่ายไว้ เมื่อ พ.ศ. 2503 ปรากฏในหนังสือรายงานการนสำรวจขุดแต่งโบราณวัตถุสถานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาค 2 พ.ศ. 2503 - 2503

ในช่วงระหว่างปีก พ.ศ. 2504 - 2508 ได้มีการโจรกรรมทับหลังนารายบรรทมสินธุ์ ที่แตกหักเป็น 2 ชิ้นนี้ไปจากปราสาทพนมรุ้ง ในปี พ.ศ. 2508 กรมศิลปากร ได้ยืดเอาทับนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่แตกออกเป็น 2 ชิ้น โดยได้ยืดเอาทับหลังชิ้นเล็กจากร้านกรุงเก่า (ที่ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Capital Antique) แถบราชประสงค์กรุงเทพฯ ส่วนทับหลังชิ้นใหญ่ที่มีการจำหลักนารายณ์บรรทมสินธุ์นั้นไม่ได้พบในเวลานั้น จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล และดร.ไฮแรม วูดเวิร์ด (Hiram Woodword) ได้พบทับหลังชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโกประเทศสหรัฐอเมริกา จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่สถาบันฯ ทราบ ต่อมา ดร. ไฮแรม วูดเวิร์ด เขียนแจ้งสถาบันฯเป็นลายลักษณ์อักษร ศาสตราจารย์ ม.จ. สภัทรดิศ ดิศกุล ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงกรมศิลปากร แนะให้ขอคืนจากนายเจมส์ อัลสดอร์ฟ (James Alsdorf) ประธานมูลนิธิ อัลสดอร์ฟ (Als dorf Foudation) ที่ให้สถาบันฯ ยืมแสดงในขณะนั้น
ในระหว่างปี พ.ศ. 2516 - 2521 กรมศิลปากรได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อขอคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ชิ้นนี้ ตั้งแต่ทำหนังสือและส่งหลักฐานยืนยันต่าง ๆ ถึงรัฐบาลสหรัฐ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตไทยในอเมริกา ถึงผู้ว่าอำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเอเชียของยูเนสโกประเทศญี่ปุ่น และถึงเลขาธิการสภาพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (International Council of Museums (ICOM) ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก แต่ก็ไม่เป็นผลเนื่องจากประเทศไทยในขณะนั้นมิได้เข้าร่วมภาคีแห่งอนุสัญญาขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ ว่าด้วยวิธีการในการห้ามและป้องกันการนำเข้า การส่งออก และการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมโดยมิชอบด้วยกฏหมาย
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เมื่อการบูรณะปราสาทพนมรุ้งด้วยวิธีอนัสติโลซีสเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ และเปิดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งได้ การดำเนินการทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จึงได้เริ่มขึ้นจากการริเริ่มของคณะกรรมาธิการวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการทำหนังสือโยตรงถึงผู้อำนวยการสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ได้ยืนยันว่า ทางสถาบันได้รับทับหลังชิ้นนี้มาอย่างถูกต้องแต่พร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างเป็นมิตร โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุ ที่มีคุณค่าทางศิลปะเท่าเทียมกัน ซึ่งรัฐบาลไทยโดยกรมศิลปากรได้มีมติเรื่องนี้ว่า กรมศิลปากรจะไม่ดำเนินการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติเป็นอันขาด แต่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ยินดีจะจำลองประติมากรรมที่มีความสำคัญทางศิลปะให้คุณค่าทางการศึกษาเป็นการตอบแทน การดำเนินการในระยะนี้ได้รับความสนใจและร่วมผลัพดันเต็มที่จากสื่อมวลชนทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 กระทรวงศึกษาธิการได้ทำการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายมารุต บุนนาค) เป็นประธานกรรมการ การเจรจาในระยะนี้ ทางสถาบันศิลปะฯ ยังคงยืนยันที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ได้มีมติว่า ถ้าทางสถาบันศิลปะฯ ส่งทับหลังคืนทางคณะกรรมการฯ จะส่งศิลปวัตถุที่มีอายุใกล้เคียนหรือเก่ากว่าและมีคุณค่าทางศิลปะเท่าเทียมให้สถาบันฯ ยืมเพื่อจัดแสดงเป็นการชั่วคราว โดยได้ส่งรูปโบราณวัตถุให้ทางสถาบันศิลปะฯ คัดเลือกทางสถาบันศิลปะได้มีความสนใจในเสมาแสดงภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบัลพัศด์ ซึ่งพบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ทางไทยส่งภาพให้โดยแจ้งความประสงค์จะขอแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุชิ้นนี้กับทับหลังทางคณะกรรมการฯ มีมติไม่ยินยอมตามข้อเสนอดังกล่าว

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2531 กรทรวงศึกษาธิการโดยกรมศิลปากรได้มีการประชุมและเสนอแนวทาง แก่คณะกรรมการฯ โดยมีสาระสำคัญ คือ เจรจาให้สถาบันคืนทับหลังโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถ้าทางสถาบันยินยอม ประเทศไทยโดยกรมศิลปากรยินดีจะให้ความร่วมมือทางวิชาการตามแนวทางการบริหารงานพิพิธภัณฑ์สากล โดยการให้ยืมศิลปวัตถุเพื่อจัดแสดงเป็นการชั่วคราว และได้มีการแต่งตั้งผู้แทนฝ่ายไทย ไปเจรจากับทางสถาบัน ผลการเจรจา ไม่เป็นที่ตกลงกัน
มีการประชุมสภาเมืองชิคาโก ในเรื่องทับหลัง มีผู้ที่ให้การสนับสนุนฝ่ายไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นกรรมการกรณีทับหลัง หรือบุคคลภายนอกที่เป็นทั้ง ชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวอเมริกกันเองด้วย ด้วยแรงกดดันต่าง ๆ เหล่านี้ และจากสื่อมวลชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทางสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก จึงได้ส่งมอบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนให้แก่ รัฐบาลไทยในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 และได้นำเอาทับหลังชิ้นนี้กลับไปติดตั้งยังที่เดิม ณ องค์ปราสาทประะานพนมรุ้ง ในวันที่ 7 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเอง